category เจาะลึกเบื้องหลัง The Mask Singer จากทีมงานผู้สร้าง, เผยข้อมูลหน้ากาก และการเก็บความลับ


: 9 มีนาคม 2560

เจาะลึกเบื้องหลัง The Mask Singer

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักประโยคนี้ที่ออกมาจากปากของพิธีกรหนุ่ม ‘กันต์ กันตถาวร’ พอๆ กับที่คงไม่มีใครไม่รู้จักรายการ ‘The Mask Singer : หน้ากากนักร้อง’ รายการที่สร้างปรากฎการณ์หลายอย่างให้เกิดขึ้นในวงการบันเทิงไทย และสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของเรตติ้งต่อรายการบันเทิง

เชื่อหรือไม่ว่า The Mask Singer เป็นรายการบันเทิงรายการเดียวที่ล้มความนิยมของละครหลังข่าวลงได้ ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อนว่าจะสามารถทำได้ ขนาดทีมงานเองยังพูดกับเราเลยว่า “ไม่คิดฝันว่าจะทำได้”

“ถ้าพร้อมแล้ว ถอดหน้ากากครับ!”

รายการประกวดร้องเพลงไทยในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา

เมืองไทยเป็นประเทศที่มีรายการทีวี ประกวดร้องเพลงเยอะมากๆ ยุคหนึ่ง ไม่ว่าเปิดไปช่องไหน สิ่งที่คุณต้องเจอแน่ๆ คือรายการประกวดร้องเพลง แต่หากแบ่งรายการประกวดร้องเพลงที่มีความแมส คนเข้าถึง รู้จักเป็นวงกว้างแม้ไม่เคยดู แต่ร้องอ้อ! เมื่อเอ่ยชื่อ ตลอด 13 ปีที่ผ่านมามีอยู่ 4 รายการที่เข้าข่าย แม้ปัจจุบันบางรายการก็ล้มหายตายจากไปแล้วได้แก่

First Stage Show : ออกอากาศครั้งแรกทางช่อง 5 เมื่อปี 2546 เป็นเวทีประกวดร้องเพลงที่ผู้ชมทางบ้านมีส่วนร่วมในการคัดเลือกนักร้องขวัญใจมหาชน เวทีนี้แจ้งเกิดนักร้องหลายคนอาทิ ตั๊กแตน ชลดา, ไอซ์ ศรัญญู และป็อบ ปองกูล แต่รายการไม่ค่อยได้รับความนิยม และปิดตัวลงไปหลังจากออกอากาศได้แค่ 2 ซีซั่น

 

True Academy Fantasia : ชื่อเดิมคือรายการ ‘ยูบีซี อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย’ หรือ ‘ปฏิบัติการณ์ล่าฝัน’ ออกอากาศทางช่อง UBC ครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยเป็นรายการเรียลลิตี้ ตามติดชีวิตศิลปิน มีการซื้อลิขสิทธิ์รูปแบบมาจากรายการ LA Academia ของเม็กซิโก ออกอากาศได้ 12 ซีซั่นก็ยุติการออกอากาศไป ศิลปินที่แจ้งเกิดมาหลายคนอาทิ ออฟ ปองศักดิ์, ตุ้ย เกียรติกมล, ณัฐ ศักดาทร, ชานิ นิภาภรณ์ ฯลฯ

 

The Star  : รายการประกวดร้องเพลงที่คล้ายคลึงกับ AF และเปิดโอกาสให้ทางบ้านโหวตเช่นกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป ฉายทางช่อง 9 ออกอากาศครั้งแรกเมื่อปี 2546 มีทั้งสิ้น 12 ซีซั่น ก่อนจะยุติการทำรายการ ผู้ชนะ และแจ้งเกิดจากการแข่งขันครั้งนี้มีหลายคนอาทิ โตโน่ ภาคิน, สิงโต – สหรัฐต์,  กัน – นภัทร, บี้ สุกฤษฏิ์, โดม จารุวัฒน์, แกงส้ม ธนทัต ฯลฯ

 

The Voice : รายการประกวดร้องเพลงน้องใหม่ที่ซื้อลิขสิทธิ์มา และมีรูปแบบของรายการที่แปลกใหม่คือโค้ช 4 คน จะเป็นผู้คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเข้าทีม เพื่อเอามาฝึก จากนั้นก็นำทีมของตัวเองไปประชันกับทีมของโค้ชคนอื่น แล้วค่อยๆ คัดออกจนกว่าจะได้ผู้ชนะ ปัจจุบันออกอากาศไปทั้งสิ้น 5  ซีซั่นแล้ว ผู้แจ้งเกิดจากเวทีนี้ก็มีหลายคนที่เอ่ยไปแล้วร้องอ้อ! แน่ๆ ก็คือ วี วิโอเล็ต, สงกรานต์ รังสรรค์ ,ชาติ สุชาติ,แม็กซ์ เจนมานะ ฯลฯ

 

ขณะที่เรตติ้งบนโลกออนไลน์ The Mask Singer ก็เป็นรายการแรกของเวิร์คพอยท์ ที่ออกอากาศผ่าน facebook live และได้ยอดวิวไปอย่างมหาศาล มียอดผู้ชมสดในขณะนั้นหลักแสนปลายๆ บางตอนแตะหลักล้านก็มีมาแล้วซึ่งไม่เคยมีรายการไหนสามารถทำได้มาก่อน ส่วนยอดดูย้อนหลังในยูทูปไม่ต้องพูดถึง ต่ำกว่าหนึ่งล้านถือว่าแปลก

เคล็ดลับอะไรที่ทำให้ความสนุกของรายการนี้กุมใจผู้ชมทั้งประเทศ ทั้งบนโลกออนไลน์ และโลกออฟไลน์ เราได้บุกมาถึง Work Point เพื่อตามล่าหาความลับใต้หน้ากากนี้

 

การเก็บความลับใต้หน้ากาก

ความสนุกของรายการ The Mask Singer ก็คือความลับ ดังนั้นรายการนี้จึงมีการเก็บความลับที่โหดมากระดับที่ว่าไม่เคยมีรายการไหนในไทยทำได้เพื่อเก็บความลับให้ได้ว่าใต้หน้ากากนั้นคือใคร ขั้นตอนการเก็บความลับสุดยอดของรายการนี้ได้แก่

 

ปิดห้อง ประชุมลับ

ตั้งแต่ก่อนเริ่มถ่ายรายการ ทีมงานของ The mask Singer ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องประชุมกันในห้องปิดทึบ บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า ยิ่งขั้นตอนประชุมว่าจะเลือกใครมาเป็นแขกรับเชิญทั้งสิ้น 32 คน ก็ไม่มีใครรู้นอกจากทีมงาน แม้ในห้องตัดต่อเองก็ต้องปิดทึบ ผู้บริหารจะเข้ายังต้องเคาะประตูก่อนเลย

เซ็นสัญญา ค่าปรับหลักแสน

ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับรายการนี้รวมกว่า 200 – 300 คน ต้องเซ็นสัญญาห้ามเปิดเผยความลับ รวมถึงผู้เข้าแข่งขันก็ต้องเซ็นสัญญาเช่นกัน หากผิดสัญญามีค่าปรับหลักแสนบาท (ใครบอกหลักล้านบาทนี่ไม่จริงนะ) ถ้าเป็นการรับงานผ่านผู้จัดการส่วนตัว ผู้จัดการส่วนตัวก็ต้องเซ็นสัญญาฉบับเดียวกัน คนข้างกายก็ห้ามรู้ว่ามาออกรายการ ขนาดภรรยาของ ‘คุณดุ๋ง – พาธี สารสิน’ หรือหน้ากากอินทรี ยังไม่รู้เลยว่าสามีไปออกรายการนี้

ต้องเปลี่ยนรถก่อนมารายการ

อย่างที่บอกว่ามันลับมากๆ ดังนั้นแขกรับเชิญซึ่งเป็นหัวใจสำคัญควรเปลี่ยนเป็นรถที่ไม่เคยขับในการเดินทางมาอัดรายการ เพื่อป้องกันคนรู้จักเห็นว่าแขกรับเชิญคนนั้นมาเวิร์คพอยท์ ถ้าไม่มีรถให้เปลี่ยน ทางทีมงานจะส่งรถไปรับ ซึ่งรถที่ไปรับก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นรถของทางเวิร์คพอยท์  (นี่ลึกลับกันอะไรเบอร์นั้นเลย)

คลุมผ้าหัวจรดเท้า

เมื่อมาถึงสตูดิโอสำหรับถ่ายรายการแล้วก่อนลงรถ ทั้งแขกรับเชิญ และผู้ติดตามจำเป็นต้องคลุมผ้าทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเห็น สาเหตุที่ต้องคลุมผู้ติดตามด้วยก็เพราะถ้าใครเห็นผู้ติดตามแขกรับเชิญ การสืบหาว่าใครถ่ายรายการที่นี่ไม่ยากแน่นอน

ห้องแต่งตัวสุดลับ

เมื่อเข้าห้องแต่งตัวแล้ว ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด โดยมีคนเฝ้าอยู่หน้าห้อง ห้ามใครเข้าออกด้วยเช่นกัน ยกเว้นคนที่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีการตรวจที่เข้มงวดเอามากๆ เลยทีเดียว

ไม่มีการซ้อมกับนักดนตรี

หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วตอนซ้อมร่วมกับวงดนตรีก่อนถ่ายล่ะ มีใครได้เห็นแขกรับเชิญตอนไม่ใส่หน้ากากไหม คำตอบคือไม่!! นักดนตรีจะไม่มีทางได้พบแขกรับเชิญก่อนเลย กระทั่งพี่หนึ่ง จักรวาล ก็ยังไม่รู้ว่าคนๆ นั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

เปิดอกพูดคุยกับทีมงานทั้ง 4

บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้คือการพูดคุยอย่างเปิดอกกับผู้อยู่เบื้องหลังรายการทั้ง 4 คน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่สำคัญในการปั้นรายการที่ไม่มีคนรู้จัก ให้กลายเป็นรายการมหาฮิตที่วันนี้ใครไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นผ่านตาบนโลกออนไลน์ถือว่า เชย! #ทำเสียงพี่กันต์

ดาราราย ศรีจิตรแจ่ม (พี่ดาว)
Group Head ฝ่ายผลิตรายการ

ฐปกร ทวีศรี (พี่พุ)
Creative

จุฑาทิพย์ สุขมา (พี่จอย)
Creative

 

นิติรัฐ รัตนชารี (พี่เนติ์)
Creative

ตอนที่ได้รับโจทย์มาว่าคุณต้องดูแลรายการนี้ คุณเริ่มฟอร์มทีมอย่างไร

พี่ดาว : อย่างแรกสุดเราเรียกประชุมน้องๆ ทีม creative รวมถึงฝ่าย production เรามานั่งประชุมกัน นั่งดูเทปกันว่ารายการต้นแบบของเกาหลีนั้น รูปแบบรายการเป็นอย่างไร ศึกษาหาวิธีการทำงาน จากนั้นก็มาคิดต่อยอดว่ารูปแบบของรายการที่เหมาะกับบ้านเราควรจะเป็นอย่างไร โดยไม่หลุดธีม ไม่หลุดไบเบิ้ลของเจ้าของลิขสิทธิ์

รายการ  King of the Mask Singer เขาจะเลือกคนที่มาจะมาเป็นแขกรับเชิญสองแบบ หนึ่งดาราที่ตกยุคไปแล้ว นักแสดงที่ตกยุคนั้น ซึ่งความน่าสนใจคือพอเปิดหน้ามามันจะมีเรื่องราวชวนดราม่า เช่นบางคนไม่เคยร้องเพลงมาก่อน แต่ซ้อมอย่างหนักเพื่อมาออกรายการนี้ บางคนเป็นดารารุ่นเก่าที่หายหน้าไปนานมากๆ โผล่มาปุ๊บคนก็คิดถึง เวลาเราดูก็รู้สึกอินตาม มันทำให้เรารู้สึกว่า รายการนี้ส่งเสริมศิลปินรุ่นเก่าที่มีความสามารถให้กลับมาอีกครั้งหนึ่งได้

อีกประเภทคือเป็นศิลปินเลือดใหม่ที่คนเยอะ พอเปิดหน้ามา โอ้โห! สาวๆ แทบเคลิ้ม (หัวเราะ) บางคนไม่คิดว่าจะมาเวทีนี้ด้วย เรามองแล้ววิเคราะห์ออกมา highlight ของรายการนอกจากร้องเพลงแล้วก็คือตอนเฉลยนี่แหละ ซึ่งมันเป็นจุดสำคัญที่จะเอามาทำให้มันดี ดูยิ่งใหญ่ได้

การเลือกซุปตาร์ก็สำคัญ คุณมีหลักในการเลือกซุปตาร์จากอะไร

พี่จอย : พอเราได้โจทย์ครั้งแรกในการเลือกนักร้อง อย่างแรกสุดเลยเราหาข้อมูลก่อนเลยว่าดารา นักร้อง พิธีกร หรือคนในวงการบันเทิง คนที่มีชื่อเสียงคนไหนที่สามารถร้องเพลงได้ แล้วสามารถร้องได้หลากหลาย แล้วเขาชอบความท้าทาย แต่ช่วงแรกมีหลายคนปฏิเสธเพราะเขาอาจจะมองว่าใส่หน้ากากแล้วร้องเพลงเหมือนโดนดิสเครดิต เขามีเอกลักษณ์แต่ใส่หน้ากากทับเอกลักษณ์เขา ยิ่งถอดหน้ากากมาเพราะแพ้ เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองดูแย่ใหญ่เลย

พี่ดาว : ยอมรับว่างงมากๆ ในช่วงแรก คนที่เชิญไปก็งง ปฏิเสธมาเยอะ เลยหาคนจากหลากหลายวงการ ขณะที่เกาหลีเขามีนักร้องมากกว่าเรา เลยมีนักร้องนักแสดงมาเป็นตัวเลือกเยอะ แต่เรามีคนจากวงการอื่นด้วยที่มั่นใจว่าร้องเพลงได้และคนรู้จัก อาจจะไม่ทั้งหมดทุกคนที่เปิดหน้ากากมาแล้วจะรู้จัก แต่ที่แน่ๆ เปิดมาแล้วต้องมีคนรู้จักชัวร์ 70%  ดังนั้นการหาซุปตาร์ที่มาออกรายการต้องหลากหลายวงการ นักแสดง นักร้อง นักมวย นักกีฬา แต่ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียง และคนรู้จัก เปิดมาแล้วต้องว้าว! ไม่ใข่ ว้า!

จุดเด่นหลักของ The mask Singer คืออะไรที่คุณถอดรหัสได้

พี่ดาว : เราแบ่งออกเป็น 4 พอยท์สำคัญคือ ซุปตาร์ที่เชิญมา ต้องร้องเพลงได้เพราะอย่างอลังการ, รายการมีความสนุก ตลก ตรงจริตคนไทย, ชุด กับหน้ากากอลังการจนชวนให้พูดถึงในทุกเทป และสุดท้ายโปรดัคชั่นต้องเล่นใหญ่ไปให้สุด ซึ่งทีมงานของเราทำได้น่าพอใจ

ข้อจำกัดอะไรบ้างที่เราต้องทำตามไบเบิ้ลของเจ้าของลิขสิทธิ์

พี่จอย : เรื่องใหญ่ที่ถูกกำชับมาคือเรื่องหน้ากาก ซึ่งเป็นหัวใจของรายการ หน้ากากต้องถูกออกแบบเพื่อให้ร้องเพลงได้ง่าย รองรับการร้องเพลงอย่างไรให้ไม่ติดขัด นี่คือข้อจำกัด นอกนั้นก็มันจะเป็นอิสระทางความคิดจะปรับให้เป็นสไตล์ของคนไทยได้

อะไรที่ทำให้ซุปตาร์ที่คุณชวนถึงยอมมาออกรายการนี้

พี่ดาว : เดิมทีที่เรามีแค่ 3 สายการแข่งขันในตอนแรกทั้งหมด 24 คน จริงๆ เราอยากได้ 4 สายหรือ 32 คน แต่เพราะว่าเราคนหาไม่พอนี่แหละช่วงแรกจึงมีแค่ 24 คน แต่พอเทปออกอากาศไปได้สักพักก็มีคนติดต่อกลับมาว่าอยากจะมาออกรายการนี้ เพราะเขาเห็นว่าทั้งศิลปิน คนดังเบอร์ใหญ่ เบอร์เล็กมากันหมดเลย คราวนี้มาให้เลือกเพียบเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร นั่นแปลว่ารายการน่าสนใจ และเขามองเห็นภาพชัดขึ้น

 

รายการนี้ลงทุนเยอะเลยทีเดียว ในฐานะผู้กุมบังเหียนคุณกังวลไหมในช่วงแรก

พี่ดาว : พี่ไม่กลัว ไม่กลัวเรื่องคนดู หรืออะไรก็แล้วแต่เราไม่กังวล แต่สิ่งที่กลัวคือกลัวทางผู้บริหารที่นี่ (หัวเราะ) เราอยากรู้ว่าผู้บริหารจะดูรายการเราแล้วชอบไหม ดูรู้เรื่องไหม ถ้าเขาชอบนั่นแปลว่าเราโอเคกับสิ่งที่ทำแล้ว มันเป็นรายการที่ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ เป็นสิ่งที่คนไทยไม่เคยเห็นโดยเฉพาะคนใส่หน้ากากมาร้องเพลง

พี่เชื่อว่าทุกคนจะมีคนที่เป็นฮีโร่ในใจอยู่แล้ว พอมีรายการที่คนใส่หน้ากาก ใส่ชุดเท่ๆ มาร้อง มันก็เหมือนเขาได้เห็นคนที่ชื่นชอบมาในลุคใหม่ที่ไม่คุ้นตา พอเฉลยออกมาก็ตื่นเต้นอีกอย่างรายการเราไม่ได้แข่งกันแบบเอาเป็นเอาตาย รายการเราตลก เราหัวเราะเจ็บใจได้กับการทายผิด ทายถูก ซึ่งจุดนี้เรามั่นใจว่าคนพูดถึงเยอะ

รายการสร้างหน้ากากก่อน แล้วค่อยให้ผู้เข้าแข่งใส่รึเปล่า ?

พี่จอย : ความจริงคือเราได้ผู้เข้าแข่งก่อน แล้วค่อยออกแบบหน้ากากตามเรื่องราวของเขา ซึ่งก็บอกได้เลยว่าทุกหน้ากากจะใบ้บางอย่างถึงตัวตนของคนข้างในอยู่แล้ว และทุกคนร้องจริงร้องสด ไม่มีลิปซิงค์แน่นอน

คุณมีกฎอยู่ว่านักร้องในหน้ากากห้ามเจอกับนักดนตรีเพื่อซ้อมร่วมกัน แล้วคุณมีกระบวนการซ้อมแบบไหนให้งานยังออกมาดี

พี่เนติ์ : มันมีขั้นตอนกระบวนการทำงานที่แปลก และยากกว่ารายการร้องเพลงอื่นตรงที่นักร้อง กับนักดนตรีจะไม่มีทางได้เจอหน้ากัน ไม่มีทางได้ซ้อมร่วมกันเลย เนื่องจากเราต้องปิดความลับให้มากที่สุด หลังจากที่เราได้ตัวนักร้องแล้ว ผมกับทีมส่วนหนึ่งจะไปคุยกับตัวหน้ากาก ลงดีเทลเรื่องหน้ากาก แล้วก็เรื่องเพลง แล้วให้เขาร้องเพลงให้ดู เพราะบางคนเขาอยากจะดัดเสียงร้องปกติของตัวเองเพื่อหลอกกรรมการ

VTR แนะนำเหล่าหน้ากากคุณก็เล่นใหญ่มากๆ เบื้องหลังกว่าจะได้มาแต่ละตอนเป็นอย่างไร

พี่พุ : หากเป็นตอนแนะนำหน้ากาก ซึ่งมี 32 คน ในตอนแรก เราก็ดูจากชุด ดูจากคาแร็คเตอร์ตัวจริงเขาเลยว่ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน มันจะมีจุดเล็กๆ ที่บอกใบ้อยู่ว่าเขาคือใคร ก็อยู่ที่ใครจะดูแล้วจะรู้สึกจากนั้นค่อยเขียนบทให้เข้ากับคาแร็คเตอร์ ซึ่งโจทย์ที่เราได้มาจากพี่ดาวคือ ทำแล้วต้องสุด สนุกที่สุด ตลกที่สุด อลังการที่สุด น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด สมมติเราจะทำวีทีอาร์ หน้ากากทุเรียน เราต้องรู้ก่อนเลยว่าตัวจริง เขาเป็นยังไง ถึงจะออกแบบวิดีโอพรีเซ้นต์เทชั่นได้ เราต้องคิด

%

เรตติ้งทั่วประเทศ 8.145

%

โอกาสที่กรรมการทายถูกต่อครั้ง

ผู้ชมผ่านทาง Facebook : 45 ล้านวิวต่อสัปดาห์

4 หน้ากากที่ทีมงานชอบที่สุด

หน้ากากระฆัง : ตอนแรกที่เห็นภาพสเก็ต เราคิดว่ามันเท่มาก พอหน้ากากมาจริงๆ เราเห็นว่ามันหลุดโลกมากๆ เแล้วก็เป็นชุดที่ สวยๆ มากแล้วก็เหมาะกับตัวของ (พี่เนติ์)

หน้ากากอีกาดำ : ผมชอบหน้ากากอีกา ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย มันดูเท่ห์ลึกลับ ดูอยากรู้ว่าใคร เป็นหนึ่งในหน้ากากที่สร้างยากสุด แพงสุดตัวหนึ่ง อีกตัวที่แพงคือหน้ากากอินทรี (พี่พุ)

หน้ากากหมูป่า : พี่ชอบหลายตัวแต่ที่ชอบสุดเลยคือหน้ากากหมูป่า เป็นหน้ากากที่ละเอียดมากๆ ไปสังเกตดูได้ว่าเก็บรายละเอียดทุกเม็ด ทุกจุดตั้งแต่เท้ายันผมสีแดง ทุกอย่างชัดเจนมากด้วยทั้งสี ทั้งคาแร็คเตอร์  (พี่ดาว)

หน้ากากทุเรียน : เป็นครั้งแรกที่ศิลปินบอกว่าอยากเป็นหน้ากากทุเรียน เราคิดในใจว่ามันจะคือยังไงวะ แต่พอออกแบบมาแล้วมันดูเท่ ดูน่ารัก จริงๆ หน้ากากทุเรียนมันก็ดูน่ากลัวนะ ครั้งแรกที่เขาออกมา เราก็จะเช็คว่ากระแสตอบรับเป็นยังไง ทุกคนบอกมันน่ากลัว แต่พอมายิ่งดูแล้วผสมกับคาแร็คเตอร์เขามันดูน่ารัก และเท่ในคราวเดียวกัน (พี่จอย)

ความท้าทายของทีมงาน

การสร้างรายการให้ฮิตในระดับที่ว่าฮิตติดลมบนนั้นมีความท้าทายทุกด้าน ยิ่งการทำรายการที่ต้องเล่นกับความลับ ล้อกับความอยากรู้อยากเห็นของคนยิ่งยาก แต่อะไรคือความท้าทายทั้งหมดที่ทีมงานเจอและพวกเขาอยากจะเล่าให้ฟัง

ยากกว่าทำรายการเพลงอื่นทั้งหมด – พี่เนติ์

“อย่างที่บอกว่ารายการนี้มันยากกว่าการทำรายการเพลงอื่นทั้งหมด มันยากตั้งแต่ตอนช่วยหน้ากากเลือกเพลงที่เหมาะกับเขา เขาสามารถดัดเสียงแล้วไม่เพี้ยน คิดวิธีนำเสนอว่าเพลงที่เลือกมาจะเรียบเรียงใหม่อย่าง คือเมื่อเขาไม่ได้ซ้อมด้วยกัน เราก็ต้องประสานงานให้ดี ผมต้องสวมตัวเองเป็นหน้ากากคนนั้นแล้วเล่าในสิ่งที่เขาต้องการให้ฟังเพื่อจะได้ไม่ผิดพลาด เรามีซ้อมร่วมกันแค่วันเดียวคือวันถ่ายจริง ในที่รันทรู ตอนเช้าก่อนถ่าย

ทำงานกับพี่ดาวคือความท้าทาย – พี่จอย

“การทำงานที่ยากที่สุดคือการทำงานกับพี่ดาว (หัวเราะ) เราทำงานกับพี่ดาวมา 6 ปี พี่ดาวสอนให้น้องไม่หยุดอยู่กับที่ ไม่ต้องไปพะวงรายการอื่น เรามองเฉพาะของเรา มองเฉพาะทีมเรา ทุกวันมันคือความท้าทาย เพราะพี่ดาวทำงานที่เวิร์คพอยท์มานาน เขาเซ้นส์ดี มีรสนิยมของเวิร์คพอย์ เขารู้ว่าองค์รวมใครจะชอบอะไร และทำงานกับเขาโจทย์แรกที่เราต้องผ่านก็คือตัวเขา ถ้าเขายิ้ม เรารอด (หัวเราะ)”


ยากที่สุดคือเอาทุกอย่างมารวมกันแล้วทำให้ตรงเวลา – พี่พุ

“งานที่เราทำ อย่างแรกหัวหน้าเราดูแล้วต้องร้องโห้! ก่อนเลย (หัวเราะ) แต่ยากที่สุดคือทำให้ดี และทำให้ทัน ความยากมันมีหลายอย่าง เรื่องชุดก็มีโจทย์ให้เราต้องคิดว่าถ่ายแบบไหนให้ตรงกับคาแรคเตอร์ใต้หน้ากาก ตัวละครเปลี่ยนโจทย์ก็เปลี่ยน ออกไปถ่ายทำที่ไหนเราก็ต้องเลือกให้ดี แต่ความยากที่สุดคือเอาทุกอย่างมารวมกันให้พอดี และทันเวลาที่กำหนด”

เปิดหน้ากากมาแล้วผู้ชมจะว้าว! ไหม – พี่ดาว

“การเอาซุปเปอร์สตาร์ของรายการมารวมกันทั้งหมดที่นี่แล้ววัดว่าคนดูจะตามโจทย์เราได้ไหม นั่นคือการเปิดหน้ากากมาแล้วคนดูจะว้าว! ไหม เข้าสามารถร้องอ้อ! ได้ทันทีเลยไหมอย่างน้อยคนดู 70% รู้จัก เราพอใจแล้ว หากสังเกตดูอาจจะเคยได้ยินคนดูจะบ่นว่า เอาใครมาวะ กูไม่รู้จัก (หัวเราะ) แต่นั่นคือส่วนหนึ่ง สมมติเราเอาดาราเด็กมาก็จะได้คนกลุ่มหนึ่งที่รู้จัก อีกกลุ่มหนึ่งถ้าไม่รู้จักก็ไม่แปลก

The Mask Singer 2

อีกหนึ่งคำถามที่ได้รับความสนใจมากที่สุดนอกเหนือจากว่าใครจะได้แชมป์ก็คือ ‘The Mask Singer Season 2’ จะมีต่อเลยไหม นี่ถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ได้มีบ่อยนัก กับการที่ผู้ชมจะถามถึงซีซั่นสอง ตั้งแต่ยังไม่จบรายการ และทางต้นสังกัดก็ยังไม่ยอมบอกว่าซีซั่นสอง จะมีไหม ถ้ามีแล้ว…เมื่อไหร่

จากข้อมูลที่ทราบแม้ไม่มีการยืนยัน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อจบซีซั่นแรก จะพักหนึ่งสัปดาห์ แล้วเมษายน เวิร์คพอยท์จะเริ่มซีซั่นสองต่อทันที เพราะกระแสกำลังมาทั้งในหมู่ผู้ชมและสปอนเซอร์ ซึ่งมีข่าวว่าอัตราค่าโฆษณาพุ่งสูงถึงเท่าตัว

อีกทั้งคราวนี้ศิลปินหลายค่ายต่างพาเหรดมาร่วมแข่งขันมากขึ้น จากเดิมซีซั่นแรกเรายังเห็นศิลปินแค่ไม่กี่ค่าย แต่หลังจากนี้ไปความสนุก และความอลังการของหน้ากากจะยิ่งทวีความมันขึ้นไปอีกเท่าตัว

อย่างไรก็ตามเราคงไม่สามารถตอบได้ว่าซีซั่นสองจะมาเมื่อไหร่กันแน่ เหมือนที่เราก็ยังตอบไม่ได้ว่าใครจะเป็นแชมป์ในซีซั่นแรก และใต้หน้ากากทั้งหมดจะเป็นใคร ทุกเรื่องที่คุณสงสัยเวลาเท่านั้นที่จะตอบได้

ดังนั้นตอนนี้ทำใจให้ร่มๆ และไปร่วมเชียร์กันก่อนว่าใครจะเป็น…King of the Mask Singer

เรียบเรียงโดย
ทีมงาน MangoZero

 

mango-zero-logo-white-orange

เพราะเราอยากให้โลกออนไลน์ไทย “สนุกขึ้น”

บทความในชุด Zero To Hero

Zero to Hero คือบทความชุดที่ทีมงานจัดทำขึ้นเพื่อเชิดชูกลุ่มคนเบื้องหลังงาน Content Online โดยทีมงาน MangoZero เลือกที่จะนำเสนอโดยไม่ได้เป็นการโฆษณาหรือรับค่าจ้างแต่อย่างใด


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save