หลังจากที่ฝรั่งเศสระเบิดฟอร์มคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกด้วยการทำประตูถล่มน้องใหม่โครเอเชียที่เพิ่งเคยเข้ารอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกไป 4-2 แบบขาดลอย ทำให้แฟนบอลและกองเชียร์ทีมตราหมากรุกผิดหวังกันไปน่าจะค่อนโลก แต่ก็เหมือนอย่างที่หลายๆ คนเคยพูดไว้ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในฟุตบอล และวันนี้เราขอรวบรวมสถิติเกี่ยวกับฟุตบอลโลก 2018 ว่าในครั้งนี้ได้เกิดเหตุการณ์ หรือตัวเลขอะไรที่น่าจดจำบ้าง…
51 คือตัวเลขนาทีที่ มีซี บัตชัวยี เตะบอลอัดหน้าตัวเอง!
ย้อนกลับไปเมื่อรอบ 32 ทีมในกลุ่ม G ระหว่าง เบลเยี่ยม และ อังกฤษ หลังจากที่อัตนาน ยานาไซ ยิงประตูตีไข่แตกให้เบลเยี่ยมนำอังกฤษในนาทีที่ 51 และเป็นประตูชัยที่ทำให้เบลเยี่ยมชนะอังกฤษไปอย่างหวุดหวิด
แต่สิ่งที่น่าจดจำแทนที่จะเป็นผลประตู กลับกลายมาเป็นจังหวะดีใจหลังจากการทำประตูของ มีซี บัตซัวยี ที่รีบเก็บลูกบอลแล้วจะเตะอัดกับประตูเพื่อความสะใจของตัวเอง แต่ลูกบอลเจ้ากรรมก็ดันพุ่งไปที่เสา ชิ่งเข้าหัวบัตซัวยีจนหน้าสั่นเคล้าความหน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บกันเลยทีเดียว
ที่มา : bangkokbiznews
840 คือจำนวนวินาทีที่เนย์มาร์นอนกลิ้งบนพื้น
การฟาวล์ในกีฬาฟุตบอลก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่สำหรับอีลูกช่างกลิ้ง “เนย์มาร์” ที่เรียกได้ว่า ถ้ามีใครไปแตะตัวทำฟาวล์เมื่อไหร่ มีกลิ้งเมื่อนั้น ซึ่งกลิ้งเยอะจนสื่ออังกฤษอย่าง The Sun ได้ทำสถิติการกลิ้งลงไปนอนของพ่อหนุ่มแซมบ้าคนนี้ว่า จะสถิติลงเล่น 4 นัด รวมเวลา 360 นาที เนย์มาร์นอนกลิ้งบนสนามมากขึ้น 840 วินาที หรือประมาณ 14 นาทีกันเลยทีเดียว
และการนอนกลิ้งของเนย์มาร์ดังขั้นสุดจนกลายเป็นกระแส Neymar Challenge ที่ทุกคนพร้อมใจกันกลิ้งตามแบบฉบับอีลูกช่างกลิ้งกันอย่างเมามัน ลามไปถึงโฆษณาต่างประเทศบางตัวของ KFC ที่นักบอลกลิ้งจากสนามไปซื้อไก่ทอด หรือแม้กระทั่งการแข่งขันเทนนิสรายการใหญ่อย่าง Wimbledon ในแมตช์พิเศษระหว่าง Mansour Bahrami และ Goran Ivanisevic สู้กับ Jonas Bjorkman และ Mark Woodbridge ก็มีการกลิ้งแบบเนย์มาร์ด้วย
195 ประตูที่ยิงเข้าทั้งหมดในศึกฟุตบอลโลก 2018
ตั้งแต่รอบ 32 ทีมสุดท้าย จนถึงรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย จำนวนประตูที่ยิงกันรวมทั้งหมดคือ 195 ลูก (รวมการยิงจุดโทษหลังจากการต่อเวลาพิเศษด้วย) ซึ่งแมตช์ที่ยิงกันมากที่สุด ไม่รวมการยิงจุดโทษหลังจากจบการต่อเวลาพิเศษ คือ 7 ลูก ซึ่งมีด้วยกัน 3 แมตช์ ได้แก่ เบลเยี่ยม–ตูนิเซีย (5-2), อังกฤษ–ปานามา (6-1), ฝรั่งเศส–อาเจนติน่า (4-3)
แต่ถ้ารวมการประตูที่ได้จากการยิงจุดโทษหลังต่อเวลาพิเศษจนครบ 120 นาที มีมากถึง 11 ลูก โดยแมตช์ที่ยิงประตูกันยับขนาดนี้คือ “รัสเซีย–โครเอเชีย” ที่ยิงในเวลา 2-2 และโครเอเชียเฉือนชนะการดวลจุดโทษไป 3-4 และผ่านเข้าไปชิงกับฝรั่งเศสนั่นเอง…
22 ประตูที่ยิงเข้าเฉพาะช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ถ้านับประตูที่ยิงเฉพาะช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นครึ่งแรกหรือครึ่งหลังแล้ว มีมากถึง 22 ประตูเลยทีเดียว ซึ่งมี 14 ประเทศที่ยิงได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และถ้าแยกย่อยลงไปอีก ประเทศที่ยิงได้มากที่สุดคือ เกาหลีใต้ ยิงไป 3 ประตู
มี 6 ทีมที่ยิงได้ 2 ประตู ได้แก่ รัสเซีย, อิหร่าน, อังกฤษ, บราซิล, เบลเยี่ยม, ซาอุดิอาระเบีย และอีก 7 ประเทศที่ยิงได้ 1 ประตู ได้แก่ สเปน, อาเจนติน่า, สวิซเซอร์แลนด์, โคลอมเบีย, คอสตาริก้า, ตูนิเซีย และ โครเอเชีย
22 ประตูที่ได้จากการยิงจุดโทษในเวลา
นอกจากการยิงประตูปกติแล้ว การได้จุดโทษก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่คนเขียนรู้สึกว่าทำไมปีนี้มันได้กันเยอะแยะจังเลยแฮะ อาจจะเป็นเพราะการตรวจจับแบบใหม่ที่ใช้ VTR มาช่วยดูการฟาวล์ต่างๆ ซึ่งถ้าใครพุ่งล้มในกรอบเขตโทษแล้วดู VTR ย้อนหลังแล้วจับได้ว่าไอ้นี่เนียนนี่หว่า กรรมการก็จะชูใบเหลืองงามๆ ให้แก้เขิลการพุ่งล้มไปเลย…
และจากการเก็บข้อมูลมา มีลูกโทษที่ยิงกันในเวลาแข่งขันกันทั้งหมด 22 ลูก จากทั้งหมด 17 ประเทศ ซึ่งมี 2 ประเทศที่ได้ลูกโทษมากถึง 3 ลูกจากการแข่งขันทั้งรายการคือ ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ส่วน ออสเตรเลีย ได้ประตูจากการยิงจุดโทษ 2 ประตู นอกนั้นก็ทีมละลูกจ้า
12 ลูกที่ทำเข้าประตูตัวเอง
ความผิดพลาดในเกมฟุตบอลมีให้เห็นอยู่เสมอไป และการทำเข้าประตูตัวเองก็ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่นักเตะไม่อยากให้เกิดขึ้นกันทีมตัวเองด้วย ซึ่งในฟุตบอลโลก 2018 มีการทำเข้าประตูตัวเองถึง 12 ครั้ง จาก 11 ทีม โดยที่รัสเซียเป็นทีมเดียวที่ทำเข้าประตูตัวเองถึง 2 ครั้งระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้
แต่สถิติที่น่าสนใจคือ ในนัดชิงชนะเลิศระหว่าง ฝรั่งเศส–โครเอเชีย มีการยิงเข้าประตูตัวเองของ มาริโอ มานด์ซูคิช นักเตะทีมชาติโครเอเชีย ซึ่งเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกที่ทำเข้าประตูตัวเองในรอบชิงชนะเลิศ หลังจากนั้น มานด์ซูคิชก็มาแก้ตัวด้วยการทำประตูให้กับโครเอเชีย ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนที่ 2 ในฟุตบอลโลกที่สามารถทำประตูทั้ง 2 ฝั่งในแมตช์เดียวกัน (โดยคนแรกที่ทำได้คือ เอร์นีย์ บรันด์ส นักเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ทำไว้เมื่อปี 1978)
ที่มา : thairath
420 คือระยะทางที่ทีมชาติเบลเยี่ยมวิ่งทั้งหมดในแมตช์เดียว
จากการหาข้อมูลมา ทีมชาติทีมีอัตราการวิ่งรวมทั้งหมดในแมตช์เดียวเยอะที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้คือ 420 กิโลเมตร ซึ่งทั้งทีมได้วิ่งในแมตช์ที่ตัวเองเจอกับบราซิล ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และผลการแข่งขันจบลงที่เบลเยี่ยมเป็นฝ่ายชนะ ส่งทีมแซมบ้ากลับบ้านและพาทีมตัวเองไปสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายต่อไป
ที่มา : fifaworldcup
6 ประตูที่ Harry Kane ทำได้ในบอลโลกครั้งนี้
สำหรับดาวซัลโวที่ทำประตูมากที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกองหน้าสายแบกจากทีมสิงโตคำราม “แฮร์รี่ เคน” ซึ่งทำประตูไปถึง 6 ประตูด้วยกัน ซึ่งใน 6 ประตู เคนทำแฮตทริกได้ในการเจอกับทีมชาติปานามา (ชนะมา 6-1) และได้ทำประตูจากการยิงจุดโทษมากถึง 3 ประตู (เท่ากับที่ อ็องตวน กรีซมันน์ จากฝรั่งเศส) จนคว้ารางวัล Golden Boots Awards ประจำการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ไปครอง
542 นาทีที่ ออลิวิเย ฌีรู ได้ลงสนามและยิงไม่เข้ากรอบเลย
ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบสุดท้ายที่กองหน้าทีมตราไก่อย่าง ออลิวิเย ฌีรู มีโอกาสลงเป็น 11 ตัวจริง ทั้งหมด 7 นัด รวมทั้งหมด 542 นาทีซึ่งฌีรูมีโอกาสยิงประตูแต่ดันไม่เข้ากรอบเลยและแมตช์ที่ฌีรูมีโอกาสใกล้เคียงที่สุดคือแมตช์ที่ฝรั่งเศสเสมอกับเดนมาร์คโดยที่ฌีรูยิงย้อยไปที่ที่สามเหลี่ยมแต่ก็หลุดออกนอกกรอบไปพร้อมๆกับการปัดของผู้รักษาประตูเดนมาร์คด้วย ถึงแม้ว่าฌีรูจะทำประตูไม่ได้เลยในศึกครั้งนี้ แต่ก็เป็นนักเตะที่ทีมตราไก่ที่ขาดไม่ได้เช่นกัน 🙂
ที่มา : goal.com
19 คืออายุของ คีเลียน เอ็มบัปเป นักเตะดาวรุ่งของทีมชาติฝรั่งเศส
ถ้าให้เลือกนักเตะที่ฟอร์มโดดเด่นสุดๆ ในการแข่งขันครั้งนี้แล้ว ขอยกตำแหน่งนี้ให้กับ คีเลียน เอ็มบัปเป นักเตะดาวรุ่งเจ้าของรางวัล Fifa Young Player Award ที่ระเบิดฟอร์มการเล่นแบบไม่ไว้หน้าใคร ด้วยการยิง 4 ประตูจาก 7 นัดที่ลงแข่ง และยังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสองที่ยิงประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้ด้วยอายุ 19 ปี 207 วัน ซึ่งอันดับหนึ่งคือ เปเล่ นักเตะในตำนานของบราซิลที่ทำได้เมื่อปี 1958 ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 17 ปี 249 วัน
ที่มา : thairath