แน่นอนว่าเครื่องปรับอากาศเป็นไอเท็มที่แทบทุกบ้านจะต้องมีเพื่อสู้กับอากาศร้อนของประเทศไทยในช่วงนี้ (หรือจริงๆ ก็ร้อนทั้งปีนั่นแหละ!) วันนี้เราเลยมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศมาฝากกัน ทั้งสำหรับบ้านที่กำลังจะติดแอร์ใหม่ หรือกับบ้านที่ติดแอร์ไว้อยู่แล้ว เมื่อพร้อมแล้ว ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญอย่างช่างแอร์ในตำนานกันเลยครับ!
ก่อนติดแอร์ เช็คค่า BTU ชัวร์หรือยัง?
สำหรับคนที่เตรียมจะติดแอร์ที่บ้าน อย่างแรกก็ต้องมาดูก่อนเลยว่าขนาดห้องของเรานั้นใหญ่ประมาณไหน เพราะแอร์แต่ละรุ่นก็จะมีประสิทธิภาพการทำงานได้ไม่เท่ากันเราเรียกว่าขนาดความสามารถการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ หรือค่า BTU นั่นเอง!
ถ้าค่า BTU สูงเกินไป จะทำให้ห้องมีความชื้นง่าย อยู่แล้วไม่สบายตัว ส่วนถ้า BTU ต่ำเกินไปก็จะทำให้แอร์ทำงานหนัก เปลืองพลังงาน แถมเสียเร็วด้วย ดังนั้นการดูค่า BTU ให้เหมาะสมกับขนาดห้องเลยสำคัญมากๆ
โดยทั่วไปค่า BTU ของแอร์จะเริ่มตั้งแต่ 9,000 ไปจนถึง 36,000 BTU แล้วแต่ขนาด ประเภท และตำแหน่งการรับแสงแดดของห้อง โดยทั่วไปจะใช้การคำนวณความกว้าง (เมตร) x ความยาว (เมตร) x ค่าตัวแปร โดยค่าตัวแปรจะขึ้นอยู่กับประเภทห้อง ดังนี้
- 700 – 800 : สำหรับห้องนอน หรือห้องที่มีความร้อนน้อย (ห้องที่ไม่โดนแดดหรือโดนเล็กน้อย ฝ้าต่ำ หรือห้องที่ใช้แอร์ช่วงกลางคืน)
- 800 – 900 : สำหรับห้องรับแขก หรือห้องที่มีความร้อนปานกลาง – มาก (ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
- 900 – 1,000 : สำหรับห้องออกกำลังกาย ห้องทำงาน หรือห้องที่มีความร้อนมาก หรือฝ้าสูง(ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก อยู่ชั้นบนสุด หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
- 1,000 – 1,200 : สำหรับร้านค้า ร้านอาหารที่เปิดปิดประตูบ่อย ร้านทำผม หรือสำนักงานที่มีคนอยู่จำนวนมาก
ตัวอย่างการคำนวณ เช่น ห้องนอนขนาด 8 x 4 เมตร = 8 x 4 x 700 = 22,400 BTU นั่นเองจ้า
สูญเสียกันไปเท่าไหร่ กับคำว่าค่าไฟ
เครื่องปรับอากาศเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกคนก็รู้กันว่ากินไฟเป็นอันดับต้นๆ ของบ้าน แล้วเราเคยสงสัยกันไหมว่าในบิลค่าไฟเราจ่ายไปแต่ละเดือนๆ นั้น เมื่อหักลบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ แล้ว เราจ่ายค่าแอร์แต่ละเดือนไปเท่าไหร่ มาลองดูกันตรงนี้
- แอร์ขนาด 9,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 700 บาท
- แอร์ขนาด 12,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 900 บาท
- แอร์ขนาด15,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,100 บาท
- แอร์ขนาด 18,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,300 บาท
- แอร์ขนาด 20,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,500 บาท
- แอร์ขนาด 25,000 BTU เปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟจะประมาณเดือนละ 1,800 บาท
นี่เป็นการคำนวณโดยประมาณของแอร์ติดผนังรุ่นธรรมดาเท่านั้นนะ ส่วนถ้าเป็นแอร์รุ่นที่เป็น Inverter ก็ช่วยประหยัดไปได้อีกประมาณ 30-35% เลยทีเดียว
ฮวงจุ้ยดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ไม่ได้จะชวนมาดูดวงแต่อย่างใด เพียงแค่อยากจะบอกว่า ถ้าจะให้เย็นทั่วห้องไม่ว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนก็อย่าลืม!! ว่าตำแหน่งติดแอร์เนี่ยก็สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลยนะ โดยพื้นฐานทั่วไปของแอร์ติดผนังก็คือ ควรติดไว้ที่ริมด้านใดด้านหนึ่งของห้อง ในด้านแนวนอนหรือแนวตั้งของห้องก็ได้
คำเตือน
ห้าม!! ติดแอร์ไว้กลางห้องเด็ดขาด เพราะจะทำให้ลมไปไม่ทั่วทั้งห้อง
ไม่ควร!! ติดแอร์ไว้เหนือประตู เพราะการเปิด-ปิดห้องจะทำให้ความเย็นออกไปด้านนอก ถ้าห้องไม่เย็นก็ไม่ต้องสงสัยกันเลย
ไม่ควร!! ติดแอร์ไว้บนหัวเตียง เพราะจะทำให้เย็นเกินไปและนอนไม่สบายตัว
ไม่ควร!! ติดแอร์ให้ชิดฝ้าหรือเพดานห้องมากเกินไป
โหมดต่างๆ ที่เรายังไม่เคยลองใช้
เคยสังเกตพวกโหมดต่างๆ บนรีโมทแอร์กันไหมว่ามันคืออะไร แล้วมันแตกต่างกันอย่างไรบ้าง จริงๆ แล้วแต่ละโหมดถูกออกแบบมาให้เหมาะกับช่วงเวลาและคนใช้ด้วยนะ ช่วงไหนร้อนจัด ช่วงไหนอากาศเฉยๆ หรือช่วงไหนขี้เกียจจะคิด จะต้องเปิดโหมดไหน ไปดูกัน!
- Cooling Mode : โหมดทำความเย็นสำหรับคนขี้ร้อน หรือโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนมากๆ เราสามารถตั้งค่าได้ทั้งอุณภูมิและความเร็วของพัดลม และเมื่อแอร์ทำให้ห้องมีอุณหภูมิถึงจุดที่เราตั้งไว้แล้วก็จะหยุดทำงานไปครู่หนึ่ง (หรือที่เรียกกันว่าแอร์ตัดนั่นแหละ)
- Dry Mode : ทำงานคล้ายๆ Cooling Mode เพียงแต่เพิ่มการลดความชื้นเข้ามา ถ้ามีอุปกรณ์ในบ้านที่ไม่อยากให้อยู่ใกล้ความชื้น ลองใช้โหมดนี้ดู
- Fan Mode : โหมดนี้สำหรับคนมีแฟน (ไม่ใช่!!) เป็นโหมดพัดลมตรงตัวเลย ไม่ได้ช่วยให้ห้องเราเย็นฉ่ำเหมือน 3 โหมดแรก แต่จะช่วยให้อากาศในห้องถ่ายเทได้ดีขึ้นเหมือนเวลาเราเปิดพัดลมนั่นเอง ช่วยลดความชื้นสะสมและลดกลิ่นอับได้อีกด้วยนะ
- Auto Mode : เป็นโหมดที่สลับการทำงานไปเรื่อยๆ ระหว่างโหมดทำความเย็น (Cooling Mode) และโหมดลดความชื้น (Dry Mode) โดยอัตโนมัติตามสภาพอากาศ ถ้าห้องเย็นเกินไป เครื่องจะสลับไปทำ Dry Mode พอความชื้นลดลงก็สลับไปทำ Cooling Mode แทน โดยปกติเราจะไม่ค่อยได้เปิดโหมดนี้กันเพราะว่าห้องจะไม่ค่อยเย็นนั่นเอง
ล้างแอร์เบื้องต้น ทำได้เองไม่ต้องเรียกช่าง
ใช้แอร์ไปนานๆ มันก็ต้องเริ่มมีสิ่งสกปรกเข้าไปสะสมอยู่บ้าง รู้กันไหมว่าเราสามารถทำความสะอาดแอร์เบื้องต้นได้เองโดยไม่ต้องโทรตามช่างให้เสียเวลา
- เริ่มจากการเอาเบรคเกอร์ตัดไฟลงก่อน เพื่อให้ไฟหยุดเดิน จะได้ไม่ช็อต
- ยกฝาครอบด้านหน้าออก เอาแผ่นกรองอากาศออกไปล้างโดยเปิดน้ำให้ไหลผ่านเบาๆ ถูด้วยมือหรือแปรงสีฟันแล้วนำไปผึ่งให้แห้ง
- ดูดฝุ่นที่แผ่นคอยล์เย็นออก จากนั้นฉีดสเปรย์โฟมทำความสะอาดแอร์ทิ้งไว้สัก 20 – 30 นาที
- เก็บแผ่นกรองอากาศเข้าที่ ปิดฝาครอบด้านหน้าให้เรียบร้อย
- เปิดโหมดพัดลม 24 องศาเซลเซียสทิ้งไว้สักประมาณชั่วโมงนึง จากนั้นก็ใช้งานได้ตามปกติเลย
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นแค่การทำความสะอาดเบื้องต้น ซึ่งเราทำสามารถได้แค่กำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกออกจากแผ่นกรองอากาศด้วยตัวเองในทุกๆ 2 สัปดาห์เท่านั้น แต่ถ้าเป็นขั้นตอนล้ำๆ อย่างการเติมน้ำยาแอร์ หรือล้างแอร์ทั้งระบบ แนะนำว่าโทรตามช่างเถอะ และเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด ควรเรียกช่างมาล้างแอร์ทุก 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง ไม่ต้องช่างแอร์ในตำนานก็เรียกได้นะ
แอร์ Inverter ไม่ได้ประหยัดไฟเท่ากันหมด
เรารู้กันอยู่แล้วแหละว่าแอร์ที่ทำงานด้วยระบบ Inverter จะช่วยประหยัดค่าไฟมากกว่าแอร์ปกติไปได้เยอะ นั่นทำให้เราเห็นแอร์ Inverter ขายเกลื่อนตามท้องตลาด แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้กันก็คือแอร์ Inverter นั้นมีอยู่หลายแบบ ซึ่งความแตกต่างก็มาจากส่วนประกอบข้างในที่ทำให้ประหยัดไฟได้ต่างกัน
ในแอร์ Inverter ทั่วไปมักจะใส่ส่วนประกอบที่ช่วยประหยัดพลังงานไว้ 2 ชิ้น นั่นก็คือแผงวงจรและคอมเพรสเซอร์ หรืออาจมี 3 ชิ้นแล้วแต่เทคโนโลยีการผลิตของแต่ละแบรนด์ แต่รู้หรือเปล่าว่าเราสามารถประหยัดไฟมากขึ้นได้อีก ด้วยแอร์แบบ Real Inverter ที่ใส่ส่วนประกอบช่วยประหยัดพลังงานลงไปถึง 4 ชิ้น ก็คือ
- แผงวงจรอัจฉริยะ PAM : ไว้ใช้ควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ โดยการปรับเปลี่ยนความถี่ในการทำงาน เพื่อให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- มอเตอร์กระแสตรง : จะต่างกับแอร์ทั่วไปที่ใช้มอเตอร์กระแสสลับ เพราะจะมีความแม่นยำในการควบคุมความเร็วรอบมากกว่า และเปลี่ยนแปลงความเร็วรอบได้มีประสิทธิภาพกว่านั่นเอง
- คอมเพรสเซอร์กระแสตรง DC : จุดเด่นคือสามารถปรับเปลี่ยนความเร็วรอบในการทำงานให้สัมพันธ์กับอุณหภูมิภายในห้อง ทำให้ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นไปอีก
- วาล์วอิเล็กทรอนิกส์ EEV (Electronic Expansion Valve) : ควบคุมอัตราการไหลของสารทำความเย็น ให้วงจรสารทำความเย็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด
และถ้าเป็นเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรุ่น Inverter ก็มั่นใจได้เลยว่าเป็นแอร์ Real Inverter มีส่วนประกอบช่วยประหยัดพลังงานครบทั้ง 4 ชิ้น ทำให้ประหยัดพลังงานและควบคุมอุณภูมิได้ดีกว่าแอร์ Inverter ทั่วไปแน่นอน
นอกจากนี้ในแอร์รุ่นใหม่อย่าง Mitsubishi Heavy Duty Inverter รุ่น Standard Inverter : YW Series นอกจากจะเป็น Real Inverter ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้นและควบคุมอุณหภูมิได้ดีแล้ว ยังมีนวัตกรรมที่ช่วยให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่าแอร์ทั่วไป เช่น
- แผงวงจรเคลือบซิลิโคนภายในเครื่องปรับอากาศที่ป้องกันความชื้นและแมลง
- ระบบการป้องกันไฟกระชาก ทนต่อแรงดันไฟกระชากถึง 470 โวลต์
- ระบบ Jetflow ใบพัดแบบเดียวกับเครื่องบินเจ็ต สามารถจ่ายลมได้ในระยะไกล
- โหมด Hi power ที่ช่วยให้ห้องเย็นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถทำงานในโหมดนี้ได้นานต่อเนื่องถึง 15 นาที
- 24-HOUR ION ปล่อยประจุลบตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยให้อากาศสดชื่นเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
- แผงคอยล์เย็นป้องกันการกัดกร่อนจากกรดหรือด่าง และมีระบบทำความสะอาดที่ช่วยให้แผงคอยล์เย็นแห้งเพื่อลดการเกิดเชื้อรา
- คอยล์ทองแดงทั้งระบบที่ช่วยป้องกันการกัดกร่อนของน้ำทะเล และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์ได้อีกด้วย!
ทั้งเย็นสบายแถมยังช่วยลดค่าไฟได้มากกว่าเดิมแบบนี้ อากาศร้อนแค่ไหนก็ไม่กลัวแล้วจ้าาาา
ที่มา : Homeest, The Air Cond, MThai, Kapook, Kanichikoong
เลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่เย็นเร็ว ทนทาน ประหยัดไฟ เพื่อความเย็นอย่างมีคุณภาพ -> Mitsubishi Heavy Duty