Mango Zero

เบื้องหลังแคมเปญสุดน่ารัก เมื่อ Starbucks นำกาแฟที่บาริสต้าไทยคิดสูตรมาขายจริง

เมื่อช่วงเดือนสิงหาถึงกันยายนที่ผ่านมา สาวกสตาร์บัคส์คงจะได้ฮือฮากันไปแล้วกับเมนูพิเศษที่คิดค้นขึ้นโดยบาริสต้าเมืองไทย และนักชิมหลายๆ คนก็คงอิ่มเอมกับเมนูใหม่ที่มาพร้อมวิปครีมรสชาเขียว ที่แค่เห็นภาพก็อยากจะดิ้นๆๆ แล้วรีบวิ่งไปซื้อมาลองบ้าง.. แต่รู้ไหมว่ากว่าเมนูเหล่านี้จะผ่านเข้ารอบมาให้พวกเราได้ฟินกัน บาริสต้าผู้เข้าประกวดต้องผ่านด่านอะไรมาบ้าง?

ทีมงาน Mango Zero ได้โอกาสพิเศษ สัมภาษณ์ คุณดาว สุมนพินทุ์ โชติกะพุกกณะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร และคุณอาร์ม บาริสต้าจากสาขาเอ็กเชนจ์ ทาวเวอร์ เจ้าของสูตรเมนูพิเศษ ‘Matcha White Chocolate Affogato’

การพูดคุยในครั้งนี้ทำให้ทีมงานได้รู้จักสตาร์บัคส์ในมุมที่ลึกกว่าเดิม และไม่ใช่แค่เรื่องของกาแฟเท่านั้น แต่ยังได้ฟังเรื่องราวที่น่าสนใจและไม่น่ามีให้อ่านจากที่ไหน นั่นก็คือเรื่องเกี่ยวกับการดูแลพนักงาน หรือที่สตาร์บัคส์เรียกว่าพาร์ทเนอร์ นั่นเอง

จุดเริ่มต้นแคมเปญ Barista Signature

คุณดาวเล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วนอกจากแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ ที่สตาร์บัคส์คิดขึ้นมาเพื่อลูกค้าให้ได้ดื่มกาแฟเมนูใหม่ๆ หรือซื้อในราคาพิเศษแล้ว ทางสตาร์บัคส์เองก็ยังมีกิจกรรมภายในองค์กรให้กับพาร์ทเนอร์ด้วย ตั้งแต่การเทรนนิ่ง, จัดแข่งขันทำอาร์ตลาเต้วาดลวดลายลงบนกาแฟ, กิจกรรมเต้นหรือการประกวดร้องเพลง

ซึ่ง Barista Signature เองก็ถือเป็นหนึ่งในแคมเปญเหล่านั้น ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเป็นการประกวดสนุกๆ ให้พาร์ทเนอร์ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์กับเมนูที่มีส่วนผสมของเอสเปรสโซซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของสตาร์บัคส์ นำมาทำเป็นเครื่องดื่มเมนูโปรดของตัวเอง โดยที่กติกาคือ ‘ต้องทำเมนูนี้ขึ้นมาจากส่วนผสมที่มีในร้านอยู่แล้ว’

แต่เมื่อผ่านการประกวดมาแล้วจนถึงการประกาศผล ทางทีมงานก็คิดว่า ในเมื่อพาร์ทเนอร์ได้ตั้งใจคิดเมนูขึ้นใหม่ แล้วออกมาใส่ใจถึงรายละเอียดขนาดนี้ ทำไมเราไม่ทำขายจริงไปเลยล่ะ? จากการประกวดสนุกๆ ภายในองค์กรก็เลยกลายเป็นแคมเปญพิเศษที่ได้ใจทั้งพาร์ทเนอร์ และก็ได้ยอดขายรวมถึงเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคไปอย่างถล่มทลาย

ขั้นตอนกว่าจะได้บาริสต้าผู้ชนะ

  1. พาร์ทเนอร์ทุกคนจะได้บรีฟโปรโมชั่นจากสำนักงานใหญ่ ซึ่งจะได้รับเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้วในนั้นจะบอกว่าเดือนนี้จะมีแคมเปญอะไรเกิดขึ้นบ้าง โดยที่บรีฟต่างๆ ก็จะมีทั้งแคมเปญเครื่องดื่มสำหรับลูกค้าเองรวมถึงกิจกรรมสำหรับพาร์ทเนอร์สตาร์บัคส์ด้วย
  2. หลังจากทราบกิจกรรมแล้ว พาร์ทเนอร์ในสาขาต่างๆ จะส่งเมนูของตัวเองเข้าประกวด โดยคนตัดสินรอบแรกก็คือพี่ๆ ผู้จัดการร้านประจำสาขา
  3. เมื่อได้เป็นตัวแทนของสาขาตัวเองแล้ว ก็จะต้องแข่งต่อในระดับพื้นที่เขต (Area) ซึ่งก็จะมี DM (District Manager) เป็นผู้ตัดสิน
  4. หลังจากนั้นก็จะผ่านมารอบ Operation Manager คือให้ผู้ชนะของแต่ละพื้นที่ (Area) มาแข่งกันต่อ
  5. จนมาถึงการแข่งขันรอบสุดท้ายที่ Starbucks academy (ศูนย์เทรนนิ่งของทางสตาร์บัคส์) คือรอบที่ผู้แข่งขันเหลือเพียง 13 คนเท่านั้น และจะมีกรรมการอาวุโสหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึง Starbucks’ Coffee Ambassador จากสาขาซีแอตเทิล มาร่วมเป็นกรรมการตัดสินด้วย

 

Q : ตอนที่คิดจะส่งประกวดต้องทำอะไรบ้าง?

พี่อาร์ม : พอปิดร้านตอนกลางคืนเราก็ต้องส่งสูตรที่เราคิดให้พี่ผู้จัดการร้านก่อน พอวันต่อมาก็ลองทำเมนูออกมาดูให้เห็นภาพว่าจะหน้าตาเป็นยังไง แล้วก็ลองชิมว่าสูตรที่เราคิดรสชาติดีไหม ซึ่งทุกคนที่ร้านก็ส่งประกวดกันหมดเลย แต่เราไม่ได้แข่งกัน ที่ร้านพาร์ทเนอร์ทุกคนจะรักกันเป็นเหมือนพี่น้องช่วยสนับสนุนกัน ก็จะช่วยๆ กันชิมว่าของแต่ละคนควรปรับเพิ่มอะไรบ้าง

Q : ตอนทำออกมาครั้งแรกเป็นยังไง?

พี่อาร์ม : ตอนแรกเราเอาชาเขียวกับช็อตเอสเปรสโซมาไว้ด้านล่าง พอเทออกมาจะเป็นคล้ายลายหินอ่อน เป็นสีดำๆ หน่อย แล้วก็มีการลองทำผิดทำถูกมาหลายแก้วกว่าจะเป็นสูตรสุดท้ายที่ได้มา

ความพิเศษของเครื่องดื่มนี้คือวิปครีมชาเขียว ความท้าทายคือจะทำยังไงให้วิปครีมชาเขียวไม่หวานจนเกินไปและให้กลิ่นหอมของชาเขียวมันออกมามากขึ้น ซึ่งต้องทำวิปครีมขึ้นมาใหม่เลย เพราะปกติทางสตาร์บัคส์จะมีแต่วิปครีมขาว หรือวิปครีมราสเบอรี่ตามโปรโมชั่น

Q : แรงบันดาลใจของเครื่องดื่มพี่อาร์มคืออะไร?

พี่อาร์ม : ได้แรงบันดาลใจมาจากกาแฟเอสเปรสโซ ซึ่งเครื่องดื่มหลักของสตาบัค แล้วก็ชา teavana ซึ่งได้เลือกเอาชาเขียวที่เป็นเครื่องดื่มขายดีของสตาร์บัคส์มาผสมช็อตเอสเปรสโซซึ่งเป็นหัวใจหลัก วิธีการเสิร์ฟจะนำส่วนผสมมาเทให้ไหลผ่านไวท์ช็อกมอคค่าปั่น เพื่อเป็นการดึงดูดให้ไวท์ช็อกมอคค่าเป็นที่รู้จักของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

Q : วันแรกที่เครื่องดื่มตัวเองได้ขาย รู้สึกยังไงบ้าง?

พี่อาร์ม : วันแรกที่ขาย น้องๆ ในร้านจะเรียกเมนูของเราว่า เครื่องดื่มพี่อาร์ม แล้วก็มีการต่อแถวยาวมากๆ ซึ่งลูกค้ามาสั่งเครื่องดื่มของเราหมดเลย พอได้ยินลูกค้ามาสั่งเครื่องดื่มพี่อาร์ม เราก็ดีใจ ยิ่งลูกค้าจำเราได้แล้วมาขอถ่ายรูปด้วย บอกเราว่าเครื่องดื่มอร่อย เราก็ยิ่งดีใจมากๆ

Q : ผลตอบรับโดยรวมของทั้งสามเมนู?

คุณดาว : ดีมากกก ตัวชาเขียวถือว่าดีที่สุด แต่ก็เพราะว่าแนวคิดเครื่องดื่มของน้องอาร์มเขาเอาหัวใจของสตาร์บัคส์ซึ่งเป็นกาแฟเอสเปรสโซ แล้วก็เอาชาเขียวเมนูขายดี มาสร้างเครื่องดื่มใหม่ ซึ่งจริงๆ เมนูที่ขายดีสุดของสตาร์บัคส์ก็คือกาแฟ และบางคนก็ไม่กินเครื่องดื่มปั่นแล้ว พอเอากาแฟมาผสมชาเขียวเลยจะได้ทั้งลูกค้ากาแฟและลูกค้าเครื่องดื่มปั่น

Q : มีแนวโน้มที่จะเอากลับมาขายไหม?

คุณดาว : เครื่องดื่มทั้งสามแก้วสามารถสั่งได้หมดเลย (สั่งแบบ customize) ยกเว้นตัวชาเขียวที่จะไม่มีวิปครีมชาเขียว ซึ่งก็อยากจะนำมาขายจริงแต่ว่าต้องสั่งของอะไรจากเมืองนอกเข้ามาให้เพียงพอก่อน ซึ่งน้องๆ ในร้านก็เชียร์อยากให้ขายกัน

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมสตาร์บัคส์ถึงเรียกพนักงานว่าพาร์ทเนอร์ เหตุผลก็เป็นเพราะว่า สตาร์บัคส์ไม่ได้มองแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่ที่สตาร์บัคส์พาร์ทเนอร์ถือว่าเรามีความเชื่อร่วมกัน ที่ทำงานเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้ โดยที่จะได้รับความเคารพซึ่งกันและกัน

ซึ่งจากที่ได้สัมภาษณ์คุณดาวและพี่อาร์ม เราก็รู้สึกถึงความภาคภูมิใจระหว่างคนทั้งสอง พี่อาร์มบอกว่าการเป็นพาร์ทเนอร์ให้โอกาสได้พัฒนาตัวเองในทางที่ดีขึ้น และทุกๆ คนก็ดีมาก ทั้งพาร์ทเนอร์ เพื่อนร่วมงาน ผู้บริหาร รวมถึงสวัสดิการต่างๆ

ถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เราได้รับรู้ เป็นอีกมุมที่อบอุ่นเหมือนบรรยากาศร้านสตาร์บัคส์เวลาเราเข้าไปนั่งดื่มกาแฟเลย 🙂

เรียบเรียงโดย
ทีมงาน MangoZero