เมื่อ 25 ธ.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่…) พ.ศ…. อนุญาตให้นำกัญชาและกระท่อมไปศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และรักษาโรคภายใต้การดูแลของแพทย์ได้
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ยาเสพติดฉบับใหม่ มีการแก้ไขเนื้อหาของ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยระบุว่า อนุญาตให้ใช้กัญชาและกระท่อมได้ในทางการแพทย์, ทางราชการ, การรักษาผู้ป่วย หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา รวมถึงเกษตรกรรม พาณิชยกรรม วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรม, อนุญาตให้พกพาเพื่อใช้รักษาโรคในปริมาณที่จำเป็น โดยต้องมีใบสั่งยาหรือหนังสือรับรองผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม, ทันตกรรม, แพทย์แผนไทย, การแพทย์แผนไทยประยุกษ์ หรือ หมอพื้นบ้าน โดยเป็นไปตามเงื่อนไขที่ รมว. สาธารณสุขกำหนดและผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ
ส่วนการขออนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง กัญชาและกระท่อม ให้สิทธิเฉพาะ
- หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัยหรือการเรียนการสอนวิชาด้านการแพทย์ , เกษตรศาสตร์
- หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ป้องกัน ปราบปรามและแก้ปัญหายาเสพติด หรือสภากาชาดไทย
- ผู้ประกอบวิชาชีพเครือข่ายแพทย์ ทั้งไทย และหมดพื้นบ้านตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
- สถาบันอุดมศึกษาที่ศึกษาและวิจัย และเรียนด้านการแพทย์
- ผู้ประกอบอาชีพเกษตรที่รวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน ซึ่งจดทะเบียนตามกฎหมาย
- ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศ
- ผู้ป่วยที่เดินทางระหว่างประเทศที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาเสพติดติดตัว
- ผู้ขออนุญาตที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบ ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับอนุญาตสามารถส่งต่อให้กับทายาทหรือผู้ได้รับความยินยอมได้ กรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตเสียชีวิตก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ
ทั้งนี้บทลงโทษจากการครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่ายไม่ถึง 10 กิโลกรัม จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท, ครอบครองเกิน 10 กิโลกรัม ให้ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย ต้องโทษจำคุก 1-15 ปี ปรับ 1 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท เป็นต้น
ในตอนนี้ยังได้มีการถกเถียงกัน ทั้งเรื่องการยกเลิกสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อการแพทย์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และจดสิทธิบัตรกัญชาของไทย ซึ่งนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ แจ้งว่า ภายในเดือนม.ค. 62 จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเรื่องขอสิทธิบัตรกัญชาให้จะมีความชัดเจนมากขึ้น