Mango Zero

AlphaGo Zero หัตถ์เทวะเซียนโกะตัวใหม่ สุดยอด AI ฉลาดล้ำจนล้มแชมป์เก่าได้สำเร็จ!

ถ้าใครยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้มีบริษัท DeepMind ในเครือของกูเกิล พัฒนา AlphaGo นักเล่นโกะเวอร์ชั่น AI หรือปัญญาประดิษฐ์ มาแข่งกับแชมป์เซียนโกะมือหนึ่งของโลก จนสามารถล้มแชมป์ได้ถึง 2 ครั้งซ้อนกันเลยทีเดียว (เล่นซะแชมป์แทบหงายหลัง)

 แต่รอบนี้มีเซียนโกะเวอร์ชั่น AI ตัวใหม่ ชื่อว่า AlphaGo Zero ที่ฉลาดและล้ำกว่าเดิม มาล้มแชมป์ AI ตัวเก่าไปได้แล้ว แถมไม่หยุดพัฒนาแค่นั้น เตรียมยกระดับให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในอนาคตด้วย!

AlphaGo Zero เซียนโกะตัวใหม่ที่อัปเลเวลความฉลาด

AlphaGo Zero เป็นนักเล่นโกะเวอร์ชั่น AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่พัฒนาโดยบริษัท DeepMind ในเครือของกูเกิลนั่นเอง ความต่างของ AlphaGo Zero ที่มาล้มแชมป์ AlphaGo ตัวเก่านั่นบอกเลยว่าไม่ธรรมดา (เพิ่มเติมนิดนึง  AlphaGo เป็น AI ที่เคยล้มแชมป์ Lee Sedol นักเล่นโกะดีกรีแชมป์โลก 18 สมัยได้สำเร็จมาแล้วด้วย)

และที่สำคัญ AlphaGo Zero ใช้เวลาฝึกฝนเรียนรู้ด้วยตัวเองเพียงแค่ 3 วัน ก็สามารถล้มแชมป์ AlphaGo ตัวเดิมได้สำเร็จค่ะ และหลังจากนั้นอีก 40 วันก็เคยๆ พัฒนาความสามารถ เทคนิคชั้นเชิงต่างๆ ของตัวเองไปเรื่อยๆ จนเก่งกาจมากๆ

จากนั้น AlphaGo ก็ได้โบกมือบายๆ ลาวงการโกะไป แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนักเล่นโกะจาก AI รายใหม่มาเล่นซะหน่อย เพราะรอบนี้บริษัทเจ้าเก่า เขาพัฒนาเซียนโกะตัวใหม่มีชื่อว่า AlphaGo Zero ที่ฉลาดและล้ำกว่าเดิม แถมเพิ่งล้มแชมป์เซียนโกะ อย่าง AlphaGo ตัวเก่ามาแล้วด้วย

AlphaGo Zero ไม่ได้เป็นเพียงแค่เซียนโกะ

นายเดวิด ซิลเวอร์ หัวหน้าทีมผู้พัฒนา AlphaGo Zero บอกว่า สิ่งที่ทำให้มันฉลาดได้ขนาดนี้เพราะมีฟีเจอร์ที่เราได้ใส่เข้าไป จนทำให้คนที่เล่นโกะจริงๆ ต้องพัฒนาหากลยุทธ์การเดินหมากใหม่ๆ มาใช้สำหรับการแข่งขันในอนาคตนั่นเองค่ะ ซึ่งมีการใช้ชิป TPU เเค่ 4 ตัว (จากเดิม 48 ตัว) ช่วยให้ใช้พลังงานในการประมวลผลน้อยลง

และไม่ใช่แค่นั้น เพราะเขาต้องการต่อยอด AlphaGo Zero  ให้เป็นมากกว่าเซียนโกะ แต่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแพทย์ อย่างการค้นคว้าวิจัยยา หรือจะวงการวิทยศาสตร์ ที่จะเห็นระบบมันสมอง AI กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ด้านนั้นๆไปเลยก็ได้ค่ะ

ไม่แน่ในอีก 10 ข้างหน้าคงได้เห็นมันสมองที่ฉลาดล้ำของปัญญาประดิษฐ์ ที่มนุษย์อาจจะต้องมาเรียนรู้กับมันแทน แทนที่มันจะเรียนรู้เรารึเปล่านะ?

ที่มา : Theguardian , Theverge