Mango Zero

แชร์ประสบการณ์ทดลองขับ TOYOTA C-HR Hybrid ครั้งแรก!! ประหยัดจริงไหม

ผม (อันหมายถึงคนเขียนนี่แหละ) เป็นคนที่หลงไหลในโลกของสองล้อ เป็นนักบิดที่ชอบขี่รถบิ๊กไบค์ไปเที่ยวคนเดียวมากกว่าขับรถยนต์ไปเที่ยวทีเดียวหลายคน เนื่องจากเราชอบความอิสระ  ความเร็ว และประหยัด เลยคิดว่าชีวิตนี้คงไม่อยากจะขับรถยนต์อีกแล้วใจเรารักในโลกของสองล้อมากกว่าโลกของสี่ล้อ จนได้มาลองขับรถยนต์ Toyota C-HR Hybrid ครั้งแรกนี่แหละความคิดเปลี่ยนเลย 

ก่อนอื่นขอเล่าถึงเหตุผลของตัวเองก่อนว่าทำไมเราไม่เคยมีความคิดที่จะซื้อรถยนต์ หรืออยากจะใช้รถยนต์เลย เรื่องมันเริ่มมาจากผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือหากติดวันหยุดยาวผมชอบที่จะไปเที่ยวต่างจังหวัด

และคิดว่าการเดินทางด้วยบิ๊กไบค์ทำให้เราไปเที่ยวได้บ่อยกว่าเพราะความอิสระ ความคูล ความเท่ และความประหยัดน้ำมันล้วนๆ ผมขี่รถเที่ยวมา 6 ปีโดยมีชุดความคิดแบบนี้ติดตัวมาตลอด และไม่เคยคิดจะลองไปเที่ยวด้วยการขับรถเลย เน้นว่า ‘ไม่เคยเลย’

จนวันหนึ่งผมได้มาลองขับรถยนต์ Toyota C-HR Hybrid ที่เป็นรถยนต์ขนาด 5 ประตู เครื่องยนต์ 1.8 ของ Toyota นี่แหละ ผมก็ค้นพบความลับของจักรวาลว่า…ขับรถไปเที่ยวมันก็ประหยัดและสนุกเหมือนกันนี่หว่าทั้งที่เราขับรถไปที่เดียวกันแท้ๆ อย่างเขาใหญ่

ซึ่งผมไปเขาใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้เราหนีบลิ่วล้อ เอ้ย! น้องๆ ที่ทำงานไปสนุกกับการเที่ยวเขาใหญ่ไปหาอะไรทำแบบชิคๆ คูลๆ แบบคนรุ่นใหม่วัยเท่ เพื่อรีวิวประสบการณ์การเดินทางไปเที่ยวที่ไม่ใช่ตัวคนเดียวครั้งแรก

ความรู้สึกเมื่อลองรถไฮบริดของโตโยต้าครั้งแรก

เราตกลงกันว่าจะไปเขาใหญ่ เพราะ ‘เมย์ยุ่ย’ บอกว่าอยากจะไปหาที่ถ่ายรูปเก๋ๆ อยากไปหาคาเฟ่คูลๆ กับ ‘นาย’ น้องชายที่ชีวิตนี้ไม่เคยหลุดพ้นเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาก่อน โดยมี ‘เกศ’ เป็นเจ๊สายเปย์ตามมาด้วยเพราะขี้เกียจอยู่ออฟฟิศและเกศบอกสรรพคุณตัวเองว่า “หนูมีสกิลเรียกช้างนะพี่ ถ้าพาหนูไปเขาใหญ่เดี๋ยวได้เจอช้างป่าแน่ๆ”

ความที่อยากเจอช้างป่าเลยพาเกศไปด้วย (ถ้าไปแล้วไม่เจอช้าง เดี๋ยวเราจะปล่อยเกศเข้าป่าไปแทน) อีกอย่างการเดินทางไปกัน 4 คนก็ทำให้เราได้ทดสอบประสิทธิภาพของรถอย่างเต็มที่ว่าถ้าต้องแบกน้ำหนักคนถึง 4 คนขนาดนี้จะไหวแค่ไหน

แต่พอเริ่มสตาร์ทรถผมปล่อยไก่ไปหนึ่งเล้าถ้วนเพราะ Toyota C-HR Hybrid  เงียบมาก ผมกดปุ่มสตาร์ทอัจฉริยะแล้วพบว่าแอร์เย็นแต่ทำไมไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เราก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก อารมณ์ในใจอุทานว่าชิบหายละ…ไปกดโดนปุ่มไหนป่าววะ ยิ่งเป็นระบบไฟฟ้าด้วย

ปรากฎว่าจริงๆ รถติดเครื่องตั้งนานแล้วสถานะของรถโชว์ที่หน้าปัดว่า Ready ชาติครึ่งแล้ว แต่ผมไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เลยก็งงว่าทำไมรถไม่ติดแต่แอร์เย็นวะ มาฉลาดในอีก 10 วินาทีต่อมาก็คือเครื่องยนต์ไฮบริดนั้นเสียงเงียบมาก (แหะๆ เขิลเลย)

สำหรับความรู้สึกแรกเมื่อเหยียบคันเร่ง เราพบว่า เฮ้ย! ใครบอกว่าไฮบริดอืดวะ นี่เถียงขาดใจ ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยขับรถยนต์ไฮบริดมาก่อนเลย แต่ก็พอรู้ระบบการทำงานของรถยนต์ไฮบริด ที่ทำงานโดยใช้พลังงานน้ำมันและไฟฟ้าผสานกันในการขับเคลื่อนเพื่อความประหยัดน้ำมัน เราโดนพูดกรอกหูมาว่ารถไฮบริดน่ะขับไม่มันหรอกเว้ย มันจริง ต้องรถใช้น้ำมันสิ…”

ผมคิดว่าไม่จริง! Toyota C-HR Hybrid เป็นรถที่เครื่องยนต์ขนาดกลางคือ 1.8 ลิตรเครื่องยนต์เดียวกับ Toyota Altis 1.8 แต่มีการเสริมระบบไฟฟ้าเข้าไปเพื่อให้รถคันนี้ประหยัดมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอืดลงเลย ระหว่างที่เราขับขี่อยู่ไม่ได้รู้สึกเลยว่าจังหวะเร่งแซง หรือจังหวะที่ทำความเร็วจะอืดตรงไหนเลย ความคิดที่ว่ารถไฮบริดอืดนั้นแปลว่าเขาคนนั้นน่าจะไม่เคยขับแน่ๆ ยืนยันไม่อืดขับสนุกจริงจังเลย

นอกจากจะไม่อืดเรา เรารู้สึกว่าช่วงล่างของ Toyota C-HR Hybrid แน่นหนึบ ยิ่งเข้าโค้งยิ่งสัมผัสได้ถึงความเนียน จนคิดในใจว่านี่เราไม่ได้อุปทานไปเองจริงๆ ใช่ไหม (ตอนหลังไปถามคนที่เป็นเทสต์ไดรฟ์เวอร์ตัวจริง ทุกคนคอนเฟิร์มว่า Toyota C-HR Hybrid เนียนจริงๆ และดีกว่า Toyota ทุกรุ่นที่เคยเทสต์มา)

ส่วนตัวเราเป็นคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์จะรู้อยู่แล้วว่าระบบช่วงล่างนั้นสำคัญแค่ไหน โดยเฉพาะการเข้าโค้ง ถ้าช่วงล่างแน่นเราจะคอนโทรลรถได้ดี ถ้าช่วงล่างกาก ความมั่นใจในการเทโค้งจะหายไปเยอะ พอเปลี่ยนมาขับรถแทนเราก็รู้สึกไม่ต่างกันคือพอช่วงล่างหนึบขึ้น เราก็ไม่ตกใจเวลาที่เข้าโค้ง

ความเพลินระหว่างการเดินทาง

ปกติถ้าผมเดินทางคนเดียวก็จะเปิดเพลงในสมาร์ทโฟนยัดหูฟังและขี่รถไปเรื่อยๆ นั่นแหละคือความบันเทิงที่เราไม่ได้เผื่อแผ่ใคร

แต่ในรถคันนี้มีความบันเทิงให้เราได้ใช้ตลอดการเดินทาง โดยศูนย์รวมความบันเทิงของรถคันนี้คือจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว ที่อัดแน่นไปด้วยฟังก์ชั่นดังนี้

ระหว่างการเดินทางเราเริ่มเปิดเพลงฟังไปด้วยโดยใช้ iPhone เชื่อมต่อกับบลูทูธ แล้วเปิด Apple Music ให้น้องๆ ที่นั่งไปด้วยกันสลับกันทำหน้าที่เป็นดีเจของคลื่น Mango Radio จัดเพลงตามคำขอให้ฟังระหว่างทาง

คนขับอย่างเราก็ควบคุมความเบาหรือเปลี่ยนเพลงได้เองที่พวงมาลัยซึ่งมีปุ่มควบคุมเพลงอยู่ตรงนั้นเรียบร้อย พร้อมกับทดลองใช้แผนที่นำทางด้วยเนื่องจากปกติผมจะขึ้นเขาใหญ่ทางปราจีนบุรี ไม่เคยมาเขาใหญ่ทางสระบุรีมาก่อน แม้คิดว่าไม่หลงหรอกป้ายมันก็ใหญ่เป้งขนาดนั้น แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วมาลองหน่อย

ตอนที่ลองใช้พบว่าช่วงแรกใช้ยากนิดนึงเนื่องจากยังไม่ชิน แต่ก็สามารถนำทางพาเราไปยังจุดหมายจนได้ เพราะความฉลาดของแผนที่ระดับเดียวกับ Google Maps เลย คือจะเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้เราโดยไม่ถามความสมัครใจ แต่ถ้าเราไปผิดทางระบบนำทางจะเปลี่ยนเส้นทางให้ใหม่เอง

ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงแน่นอน หรือถ้าหลงจริงๆ เดี๋ยวหาทางใหม่ให้ ในส่วนของห้องโดยสารก็กว้างขวาง ทั้งคนขับ และผู้โดยสารก็เพลินแอร์เย็นๆ เพลงเพราะๆ นั่งยาวไป ยาวปายยยย สุดท้ายเราก็ถึงทางขึ้นเขาใหญ่จนได้

พี่เวลาขี่รถแล้วเจอแดดโคตรแรงเลยขนาดนี้ชุดที่ใส่ขี่รถก็หนา พี่ขี่รถกลางแจ้งได้ไงเนี่ยน้องนาย ถามผมหลังจากที่เรากำลังยืนถ่ายรูปในทุ่งหญ้าริมอ่างเก็บน้ำมอสิงโต แลนมาร์คของเขาใหญ่ที่เป็นทุ่งหญ้าสะวันนาเหมาะแก่การถ่าย MV เพลงวัยรุ่นมากๆ 

แต่แดดก็ร้อนแรงสามารถแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง ผมยิ้มแล้วตอบนายไปว่าความเท่ทำให้พี่ไม่กลัวร้อนเว้ย…” ว่าแล้วก็บอกให้น้องๆ แอคท่าเท่ๆ สู้ภัยร้อนแล้วถ่ายรูปต่อ

ระบบความปลอดภัยที่ช่วยเราอุ่นใจขึ้น

คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์จะรู้ดีว่ามุมอับของรถยนต์อยู่ตรงด้านข้างฝั่งคนขับเพราะบางทีคนขับรถไม่รู้ว่ามีมอเตอร์ไซค์อยู่ด้านข้าง พอจะเปลี่ยนเลนเลยไปชนกับรถมอเตอร์ไซค์ที่อาจจะกำลังแซงขึ้นมากระทันหัน

แต่ระบบความปลอดภัยของ Toyota C-HR Hybrid ที่ช่วยให้เราปิดจุดอ่อนตรงนี้คือระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้างซึ่งจะมีไฟสีส้มโชว์เตือนบริเวณกระจกมองข้างฝั่งที่มีรถเข้าใกล้ทุกครั้งที่มีรถมาอยู่ด้านข้างเรา

ตอนที่เราขับรถแรกๆ อาจจะรู้สึกรำคาญว่าไฟส้มๆ จะขึ้นทำไมนักหนา (เหมือนจะปิดไม่ได้ด้วย) แต่ขับไปสักพักก็เริ่มอุ่นใจว่าอย่างน้อยเราคงไม่ถลาไปซัดกับใครเข้า

ยิ่งคนตาถั่วอย่างผมมาขับรถด้วยยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นจากมุมอับขึ้นเยอะเลย ส่วนเวลาเราถอยหลังเข้าที่จอดรถ ก็จะมีกล้องมองหลังพร้อมเซ็นเซอร์ที่ช่วยให้เราถอยหลังได้ง่ายขึ้น

ซึ่งเราได้รู้ซึ้งถึงความมีประโยชน์ของฟังก์ชั่นนี้ก็คือตอนที่ขับรถไปแล้วเจอช้างป่าดักหน้า ใช่! เราเจอช้างป่าอย่างที่เกศ โฆษณาจริงๆ ว่าตัวเองมีสกิลในการเรียกช้าง เราเจอช้างป่าในขณะที่กำลังขับรถจะไปผาเดียวดาย

ตอนนั้นเราไม่เห็นช้าง แต่เห็นรถคันหนึ่งขับสวนทางมา เราสบถในใจเป็นภาษาโปรตุเกสว่าจะรีบแซงไปไหนวะพอเราเลยรถคันนั้นไปก็พบเหตุผลว่าทำไมถึงเขาถึงรีบแซงมีช้างป่าตัวใหญ่ยืนกินใบไม้อยู่ระยะประชิด แบบประชิดจริงๆ ห่างกันไม่ถึงห้าเมตร

ครั้งแรกที่เจอช้างป่าเราทำตัวไม่ถูกเดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ยากไม่รู้จะมีใครมาเสยตูดไหม โชคดีที่มีกล้องมองหลังกับเซ็นเซอร์ เราเลยได้ใช้ประโยชน์ของสิ่งนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เราสามารถถอยหลังหนีช้างได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่กังวลว่าจะไปชนใคร

เราค่อยๆ ถอยหลังมาเรื่อยๆ ขณะที่ช้างก็เดินมาหาเราเรื่อยๆ โอ้ว! คุณพระ Help นี่รถยืมเค้ามาอย่ามาเหยียบรถหนู เดชะบุญเคยดูเนชั่นแนลจีโอกราฟิกมา เลยจำได้ว่าช้างที่มันอารมณ์ดีหูจะกระดิกหางจะส่าย พวกเราเจอช้างอารมณ์ดี เลยขับรถเลี่ยงๆ ออกมาได้

ที่สำคัญครับอันนี้ต้องจดเลย เราเพิ่งรู้ว่าความที่รถไฮบริดเครื่องเงียบนี่แหละทำให้ช้างไม่ได้ตื่นเต้นสนใจอะไรเราเลยสักนิดเดียว เราเลยไม่ต้องถอยหลังไปเรื่อยๆ เหมือนรถคันอื่น

แต่กลายเป็นใส่เกียร์เดินหน้าขับรถหลบเลี่ยงช้างออกไปจากสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นนั้นได้ (ฟังก์ชั่นทั้งหลายมันช่วยเราจากสถานการณ์นั้นได้จริงนะไม่ได้จ้างช้างมาเดินตัดหน้าเลย) จริงๆ มีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกเยอะแต่เราไม่มีโอกาสได้ใช้เช่น

ซึ่งเราขับรถไปด้วยความระวังอยู่แล้วจึงไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ระบบความปลอดภัยเหล่านี้ อีกอย่างการไปเที่ยวกับเพื่อนเยอะแยะก็ได้ความเฮฮานี่แหละที่ทำให้เราตื่นตัวตลอดการเดินทางหลับไม่ลงจริงๆ

เท่ทั้งภายในและภายนอกเหมาะสำหรับ #คนคูล2018

รถสวยจัง เท่าไหร่เนี่ย” ผู้ชายคนหนึ่งเดินมาด้อมๆ มองๆ ที่รถเราอยู่พักใหญ่จอดรถพักถ่ายรูปที่คาเฟ่ Birder’s lodge หลังลงจากเขาใหญ่ด้วยใจระทึก เราบอกราคาไปด้วยรอยยิ้ม เขาพยักหน้าแล้วเดินวนรอบรถก่อนจะถามเรื่องการใช้งานว่าเป็นอย่างไร ผมก็เล่าความรู้สึกให้ฟังตอนที่ขับมาจากกรุงเทพฯ จนถึงเขาใหญ่

ก่อนจะเปิดภายในรถให้เขาดูเป็นการเซอร์วิส ผู้ชายคนนั้นดูภายในรถของเราอย่างตั้งใจก่อนที่เขาจะชิงรถเราไป ถุ้ย! ไม่ใช่ เขาดูรถเราอย่างตั้งใจ แล้วเอ่ยปากชมว่า “ข้างในสวยมากเหมือนยานอวกาศเลย

ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่ายานอวกาศลำไหนแต่ Toyota C-HR Hybrid ก็สวยสัสจริงๆ นั่นแหละ ปกติผมเป็นคนที่ไม่สนใจรถยนต์เลย ชีวิตโฟกัสไปแต่ที่บิ๊กไบค์ จากเดิมมีแผนที่จะถอยบิ๊กไบค์คันใหม่แนวทัวร์ริ่งไว้ขับขี่ทางไกล

ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจหันมาสนใจรถเก๋งแทนแล้ว ยิ่งพอเจอ Toyota C-HR Hybrid ยิ่งหวั่นไหว ด้วยรูปทรงการออกแบบเราสัมผัสได้ถึงความคูลลุคของรถคันนี้เราคิดว่าเหมาะสมกับคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ที่ชอบอะไรเท่ๆ คูลๆ สไตล์สปอร์ต เส้นสายการออกแบบดูล้ำๆ ไม่เป็นแท่งๆ ทื่อๆ

คนมามองรถเราตลอดเลยว่ะพี่” 

เมย์ยุ่ยสะกิดผมระหว่างที่นั่งชิลล์อยู่ในคาเฟ่โคตรคูลของเขาใหญ่ ซึ่งด้านในตกแต่งได้สวยงาม ถ้ามาตอนกลางคืนและอากาศเย็นกว่านี้เราว่าน่าจะชิลล์กว่านี้แน่ๆ ระหว่างนั้นผมมองไปตามนิ้วของเมย์ยุ่ย ก็เห็นว่ามีคนเดินมามองรถเราเยอะจริงๆ นั่นแหละ

เอาตรงๆ ก็อดยืดไม่ได้ที่รถเราได้รับความสนใจขนาดนี้ (ถึงจะเป็นรถที่ยืมมาก็เถอะนะ) จังหวะตอนที่เดินกลับไปที่รถปลดล็อคแล้วเข้าไปในรถตอนนั้นรู้สึกเหมือนทุกสายตาจับจ้องมาที่เรา (ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีใครมองเลยมึงเลยไอ้แว่นนน มโนไปเอง เค้ามองรถกันทั้งนั้น) มันเป็นความรู้สึกที่คูลจริงๆ สวนทางกับอากาศที่โคตรฮอตเลย

ว่ากันตามตรงเราไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ Toyota C-HR มียอดจองสิทธิ์ในไทยตอนที่เปิดตัวครั้งแรกถึง 3,000 คัน ในงาน Motor Expo 2018 เมื่อพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยมีใครได้ลองขับ แต่แค่เห็นรูปร่างทั้งภายในภายนอกก็สามารถตัดสินใจจองได้ในทันที

Toyota C-HR Hybrid ถือได้ว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดอีกรุ่นของโตโยต้าที่ประสบความสำเร็จในไทยเลยทีเดียว ส่วนในตลาดโลกไม่ต้องพูดถึงขายได้ 283,000 คัน ถ้าเทียบเป็นประเทศก็ถือว่าขายดีที่สุดในญี่ปุ่น ส่วนถ้าเทียบระดับทวีปก็ขายดีติด 1 ใน 5 ของรถในยุโรปเลย โอ้ววว

ความประหยัดของรถไฮบริด

ก่อนกลับพวกเราพาน้องๆ ไปแวะกินสเต็กร้านดังที่สุดและสวยที่สุดของแห่งหนึ่งของเขาใหญ่คือ ‘Ribs Mannn’ ความรู้สึกที่บอกว่าสั่งเลยน้อง เดี๋ยวพี่จ่ายให้เป็นความรู้สึกที่โคตรป๋า

เพราะทริปนี้เราเตรียมงบมาไม่เยอะมาก แต่พอคำนวณค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่ากินแล้ว เราเหลืองบที่สามารถจัดอาหารมื้อหรูดูดีได้ในช่วงสุดท้ายของทริป

เราเคยได้ยินมาตลอดว่ารถไฮบริดนั้นประหยัดน้ำมันมากจริงๆ และ จากโฆษณาบอกว่า Toyota C-HR Hybrid  ประหยัดน้ำมันมากซึ่งได้ยินตัวเลขครั้งแรกถึงกับงงว่าจริงเหรอที่สามารถทำได้ถึง 24.4 กิโลเมตรต่อลิตร

ตอนที่เราเริ่มต้นขับยังไม่รู้ว่าจะสามารถทำได้ระดับไหน ก็ต้องลองขับไปก่อน ก่อนจะออกจากคอนโด เติมน้ำมัน E20 จนเต็มถัง 800 บาท (น้ำมันของเก่าค้างอยู่ 1 ส่วน 4 ของถัง) มาตรวัดขึ้นค่าเฉลี่ยแสดงผลให้เราดูว่าสามารถวิ่งได้ราวๆ 733 กิโลเมตรทั้งถัง นั่นหมายความว่าถ้าขับไปเชียงใหม่ถังเดียวน่าจะพอ (เสียดายที่เราไม่ได้ลองขี่ไปไกลขนาดนั้น ไม่งั้นคงเพลินกว่านี้)

ระหว่างที่กำลังกินข้าวผมลองคำนวณค่าน้ำมันก่อนกลับกรุงเทพฯ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ 20 กิโลเมตรต่อลิตร นับว่าโคตรถูกมาก เท่ากับว่าขามาเราเสียค่าน้ำมันไปแค่ 375 บาทเท่านั้น (คำนวณจากระยะทาง 300 กิโลเมตรก่อนจะกลับ และคูณด้วยราคาน้ำมันวันที่เติม)

ซึ่งงบที่เตรียมมาคือ 5,000 บาท เท่ากับว่าเรามีงบในการเที่ยวคูลๆ ไปดูเขาใหญ่สบายอิ่มหนำสำราญกันไปเต็มที่ไม่ต้องกระเบียดกระเสียรอีกต่อไป

ส่วนตลอดทั้งทริประยะทางที่ใช้เดินทางอยู่ที่ 494.6 กิโลเมตร รถกินน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 19.23 กิโลเมตร/ลิตร พอเอามาคำนวณค่าน้ำมันอีกรอบ สรุปว่าเราเสียค่าน้ำมันไปเพียง 650 บาทเท่านั้นกับการใช้รถไปเกือบ 500 กิโลเมตร ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับที่ผมขี่บิ๊กไบค์ไปกลับ เขาใหญ่ระยะทางเท่ากัน

แถมน้ำมันยังลดลงเกินครึ่งถังมานิดเดียว เงินเหลือมหาศาลจากที่ตั้งเป้าว่าน่าจะเสียค่าน้ำมันโหดกว่านี้ ความรู้สึกที่ผมเคยบอกไปตั้งแต่บรรทัดแรกว่าขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวสนุกกว่า ประหยัดกว่า คล่องตัวกว่านั้นก็จริง แต่ขับรถเที่ยวก็ได้ทุกความรู้สึกไม่ต่างกัน แถมยังประหยัดและสบายกว่าด้วย

สรุปความรู้สึกหลังจากได้ขับ Toyota C-HR Hybrid  ครั้งแรก