ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเป็นภาระของธุรกิจ หากแต่เป็นโอกาสใหม่ที่เริ่มได้จากการลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัวพร้อมกัน ก็จะกลายเป็นพลังใหญ่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทั้งต่อธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้การเติบโตมั่นคง เป็นธรรม และส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นถัดไป
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ความยั่งยืน’ หลายคนอาจนึกถึงแนวคิดใหญ่ที่อยู่ไกลตัว แต่สำหรับผู้ประกอบการ SMEs อย่าง คุณพรพิมล ปักเข็ม – ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพนนิน เพนนี พาทิซเซอรี่ จำกัด, คุณวัฒนากฤษณาวารินทร์ – รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนำโฟลีแพค จำกัด, คุณสุพิชญ์ญา ยามวินิจ – ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมมอน ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด และคุณพรฤทัย โชติวิจิตร – เจ้าหน้าที่ติดตามและประเมินโครงการ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature: IUCN) ไม่คิดอย่างนั้น
พวกเขาต่างเห็นว่า ‘ความยั่งยืน’ อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด และนำมาเป็นทั้งแรงบันดาลใจและเข็มทิศในการทำธุรกิจจริงๆ โดยสำหรับวงเสวนาสุดท้ายของงาน ‘TCP Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด Sustainable Growth: The Future of Growth’ คือ Session ‘การนำการเติบโตที่ยั่งยืนไปปฏิบัติจริง – การเปลี่ยนแปลงและการสร้างโอกาสสำหรับทุกภาคส่วน’ พวกเขาได้แบ่งปันเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ความพยายาม และโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเลือกเดินบนเส้นทางนี้
โดยมีหนึ่งในฟันเฟืองที่คอยสนับสนุนจาก เดอเบล บริษัทภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP กับโครงการ ‘Big Brother’ ที่ทำงานร่วมกับหอการค้าไทย เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเติบโตในสนามธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
[เมื่อความห่วงใยจากครอบครัวสู่ธุรกิจที่ใส่ใจโลก]
เริ่มจาก คุณพรพิมล ปักเข็ม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพนนิน เพนนี พากิซเซอรี่ จำกัด เธอเริ่มต้นจากการทำขนมเพื่อสุขภาพให้ลูก ก่อนขยายสู่ธุรกิจส่งออกที่ใช้วัตถุดิบพรีเมียมและเทคโนโลยีการอบแบบ Airbake ที่ลดการใช้น้ำมันลงอย่างมาก แรงบันดาลใจสำคัญของเธอมาจากลูกสาวที่กังวลเรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลายและชีวิตเพนกวิน คุณพรพิมลจึงนำความเชื่อนี้มาเป็นหัวใจธุรกิจ
แม้จะพบจุดเปลี่ยนสำคัญ คือเมื่อธุรกิจเริ่มเติบโตและต้องการเข้าสู่ตลาดโรงแรมหรือการส่งออก ซึ่งทำให้ต้องเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานความยั่งยืน และความท้าทายในการเตรียมเอกสารข้อมูลจำนวนมาก แต่ดีที่ได้เข้าร่วมโครงการ Big Brother โดยมี TCP คอยดูแลให้คำแนะนำทำให้ปรับตัวได้ทันกับความท้าทายที่เจอ
จึงเริ่มดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยใช้สารพัดเทคโนโลยีมาช่วย เช่น การใช้เทคโนโลยี Airpop ช่วยลดการใช้น้ำมันและลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างมหาศาล รวมถึงใช้ข้าวจากโครงการที่ช่วยชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชสร้างรายได้ใน 11 ประเทศ และยังช่วยเด็กด้อยโอกาสให้ได้กินขนมพรีเมียม รวมถึงการทำวิจัยเพื่อระบุปริมาณคาร์บอนที่ลดได้ต่อป๊อปคอร์น 1 ถุง เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นว่าการบริโภคสินค้าของแบรนด์มีส่วนช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
[เปลี่ยนภาพ ‘พลาสติกตัวร้าย’ สู่โอกาสแห่ง ‘ความยั่งยืน’]
สำหรับ คุณวัฒนา กฤษณาวารินทร์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนำ โพลีแพค จำกัด เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 30 ปีก่อน เมื่อพลาสติกถูกมองว่าเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม บริษัทจึงนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) มาเป็นแนวทาง ไทยนำพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ทั้งฟิล์มย่อยสลายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จากพืช บรรจุภัณฑ์จากเยื่อไผ่ และโครงการ Circular เช่น Big Bag และ Jaika ที่เน้นรีไซเคิลและใช้วัสดุ Mono-material ผลการวิจัยยืนยันว่าไม่มีพลาสติกตกค้างในดินเลยแม้แต่น้อย
แม้ต้นทุนเริ่มต้นของไบโอพลาสติกยังสูง แต่คุณวัฒนามองว่าการยกระดับกฎระเบียบและความตื่นตัวของสังคมจะเป็นแรงผลักให้ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนผ่าน และผู้ที่พร้อมก่อนย่อมได้เปรียบ แนวคิดนี้เองที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ TCP ที่ประกาศว่าจะพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลได้ 100% อีกทั้งไทยนำยังเกี่ยวข้องในฐานะของผู้ผลิตบรรจุภัฑณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่สอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของ TCP
นอกจากนี้ ยังมีเขายังมองว่าการกีดกันทางการค้าและการเรียกร้องจากภาคธุรกิจและลูกค้าต่างประเทศ (Trade Barrier) ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวไปสู่ความยั่งยืน
[ ‘อาหารสุขภาพ’ ไม่ใช่แค่ต้องอร่อย แต่ต้อง ‘ลด Food Waste’ ด้วย]
ต่อมาคือแบรนด์เล็กน้องใหม่ของ คุณสุพิชญ์ญา ยามวินิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมมอน ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Never Enough คอมมอน ฟู้ด โซลูชั่น เป็นอีกหนึ่งในสมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการ Big Brother โดยธุรกิจของเธอเป็นโรงงานผลิตอาหารเฉพาะทาง ที่ผลิตอาหารสำหรับกลุ่มเฉพาะ เช่น แม่และเด็ก ผู้ป่วย และผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการกิน
เธอพบว่าความท้าทายหลักในธรุกิจ คือการควบคุมคุณภาพสินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ตัวเธอต้องลงไปทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกร
นั่นทำให้เธอเรียนรู้ว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของขยะในประเทศไทย คือ ‘ขยะอาหาร’ (Food Waste) ซึ่งเป็นก้อนใหญ่ที่สุดและเกิดจากทุกครัวเรือน ร้านอาหาร และจากผลผลิตของเกษตรกรที่ไม่สามารถจำหน่ายได้เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกไม่สวยงาม แม้จะยังไม่เน่าเสียก็ตาม จึงตั้งเป้าหมายช่วยลดปัญหานี้ด้วยการรับซื้อผักผลไม้ที่หลุด QC จากเกษตรกรมาผลิตเป็นสินค้า ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ผลิตน้ำใช้เอง และสร้างระบบจัดการขยะที่ชุมชนรอบโรงงานมีส่วนร่วม
ภายใต้แนวคิดที่ว่าขนาดของธุรกิจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ความคิด (mindset) ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญทำให้ธุรกิจเติบโตได้ และเชื่อว่าความยั่งยืนไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ แต่คือ ‘ค่านิยมหลัก’ ของธุรกิจที่ต้องเป็นต้นแบบ เพราะความยั่งยืนคือ ‘ร่ม’ ที่ทุกคนต้องถือไว้ด้วยกัน ทุกสิ่งที่ธุรกิจทำในวันนี้จะย้อนกลับมาสู่สังคมและตัวเราเองในวันหน้า
[เมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็น ‘ไม่ทำไม่ได้’]
สำหรับเรื่องราวสุดท้ายคือ คุณพรฤทัย โชติวิจิตร เจ้าหน้าที่ติดตามและประเมินโครงการ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) สะท้อนภาพวิกฤตปัจจุบัน เช่น จังหวัดระนอง ที่มีขยะวันละ 234 ตัน แต่กว่าครึ่งถูกกำจัดไม่ถูกวิธี พร้อมย้ำถึงภัยใกล้ตัวอย่างไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์ IUCN จึงทำงานร่วมกับภาคธุรกิจ ภาควิชาการ หน่วยงานท้องถิ่น และชุมชน
เมื่อ TCP และ IUCN ต่างมีเป้าหมายร่วมกันคือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงร่วมมือกันจัดโครงการ “TCP ปลุกพลังความยั่งยืน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน” เพื่อทดลองศึกษาโมเดล Extended Producer Responsibility (EPR) ผ่านการทำงานจริงในพื้นที่ โดยการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งการทำกิจกรรมกับร้านค้าและชุมชน
หนึ่งในหัวใจของโครงการคือการทำงานกับ ‘ร้านโชห่วยในชุมชน’ โดยใช้กลไกโปรโมชั่น เช่น ซื้อผลิตภัณฑ์ 8 ชิ้นคืนบรรจุภัณฑ์แลกรับ 1 ชิ้น หรือ 10 ชิ้นแลก 1 ชิ้น ทำให้ร้านโชห่วยกลายเป็นจุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ เชื่อมโยงผู้บริโภคเข้ากับระบบรีไซเคิล เมื่อร้านค้าเก็บบรรจุภัณฑ์ได้จำนวนหนึ่ง ก็สามารถนำไปขายต่อให้กับโรงรับซื้อรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน สร้างรายได้เสริมให้กับร้านค้า ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็เรียนรู้ว่า บรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว ไม่ใช่ขยะ แต่ยังมีคุณค่า
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ชุมชนร่วมมือกันจริง ไม่เพียงเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการขยะ แต่ยังสามารถผลักดันไปสู่ “เทศบัญญัติท้องถิ่นว่าด้วยการจัดการขยะ” ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนว่า ชุมชนคือแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
ที่สำคัญเธอยังย้ำว่า “มันไม่ทำไม่ได้แล้ว” เพราะผลกระทบจากขยะมูลฝอย เช่น ไมโครพลาสติก อยู่ใกล้ตัวเรามาก และตอนนี้พบอยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว และภาคธุรกิจต้องเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ หากพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่เปลี่ยนตาม และต้องมีเทคโนโลยีที่รองรับด้วย
โดยสรุปแล้ว จากมุมมองของผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ มีสิ่งหนึ่งที่ตรงกันคือ ‘ความยั่งยืนไม่ใช่ภาระ แต่คือโอกาสสำคัญของธุรกิจ’ ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากแรงบันดาลใจส่วนตัว กฎหมาย ตลาด หรือชุมชน ทุกคนต่างเริ่มที่การสำรวจภายใน ปรับปรุงกระบวนการ และสร้างคุณค่าตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ
ดังนั้น ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความยั่งยืนจึงไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นเส้นทางเดียวที่จะทำให้ SMEs เดินต่อไปได้อย่างมั่นคง และส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับสังคมและโลกใบนี้