Mango Zero

ย้อนดู 7 คนดัง ที่ประสบความสำเร็จได้ โดยไม่ใช้โชคช่วย

สายไปไหมถ้าจะเริ่มทำอะไรตอนนี้ ? หลายๆ คนเกิดมาพร้อมกับความฝันและเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง แต่ระหว่างก่อนจะถึงปลายทาง เราอาจต้องพบกับความยากลำบากและอุปสรรคบ้าง อย่าเพิ่งท้อใจไป มาดู 7 บุคคลที่ยกมาเป็นตัวอย่างว่าเป็นเพราะความขยันและไม่ท้อถอยของเขา ทำให้พวกเขามีวันนี้ที่ประสบความสำเร็จ

 

1. คุณตัน ภาสกรนที

กว่าคุณตันจะมาเป็นนักธุรกิจพันล้านที่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ใครจะรู้ว่าเขาเคยเริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือน 700 บาทมาก่อน โดยเริ่มต้นการทำงานตั้งแต่อายุ 17 ปี หลังจากเรียนจบมศ.3

จนมามีธุรกิจแรกเป็นของตัวเองก็คือแผงขายหนังสือพิมพ์ คุณตันล้มลุกคลุกคลานทำงานหาเลี้ยงชีพ ทั้งเจ๊ง ทั้งขาดทุน ฝนตกหนังสือพิมพ์เปียกน้ำ เจ๊งตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เริ่มใหม่และขยัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่คุณตันเป็นเจ้าของธุรกิจได้เร็ว

จนมาธุรกิจโออิชิ จากตอนแรกๆ ที่คุณตันต้องจัดการเองทุกอย่างตั้งแต่ซ่อมก๊อกน้ำในห้องน้ำ ดูแลงานเบื้องหลัง ใส่ขาสั้นเช็ดโต๊ะ จนปัจจุบันมีลูกน้องช่วยทำทุกอย่าง มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน บริหารบริษัทใหญ่ๆ ได้ด้วยตัวเอง

คุณตันกล่าวว่าที่ประสบความสำเร็จมากถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะเป็นคนขยัน ไม่ยุ่งกับสิ่งไม่ดี คนเลยอยากจะช่วยเหลือ

ที่มา : takach.blogspot.com

 

 

2. ผู้พันแซนเดอร์ส

แซนเดอร์ส ต้องรับภาระดูแลน้องชายและน้องสาว ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ หลังจากพ่อเสียชีวิต เขาต้องทำงานบ้านทุกอย่าง รวมถึงทำอาหารด้วย และด้วยความสามารถเขาจึงได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดทำอาหารของหมู่บ้านเมื่ออายุ 7 ขวบ

เขาเลี้ยงชีพด้วยการหางานทำไปเรื่อยๆ และตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้ง เมื่อแต่งงานก็ถูกภรรยาทิ้งไป ด้วยเหตุผลว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่มีงานทำ

แซนเดอร์สพบว่าสิ่งที่เขาทำได้ดีก็คือการทำอาหารก็เลยไปเริ่มทำงานเป็นพ่อครัวที่ร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่งจนเกษียณอายุตอน 65 ปี

หลังการเกษียณเขารู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่าจนอยากคิดฆ่าตัวตาย แต่แล้วก็คิดได้ว่าเขามีสิ่งที่ทำได้ดีคือการปรุงอาหาร จึงได้กลับไปที่บ้านและทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยการปรุงที่คิดค้นขึ้นมา จนเป็นที่รู้จักในนาม Kentucky Fried Chicken หรือ KFC นั่นเอง

ที่มา : teen.mthai.com

 

 

3. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron)

ผู้กำกับหนังออสการ์ชื่อดัง ทั้ง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D เรื่องแรกๆ ของโลก อย่าง อวตาร (Avatar) ก็มีประวัติที่น่าเอาเป็นตัวอย่างเช่นกัน

เขาเคยหยุดเรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย จนสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์

 

 

4. เจ.เค. โรว์ลิง (J.K. Rowling)

J.K. Rowling เกิดมาในครอบครัวของนักอ่าน โจเขียนหนังสือเรื่องแรกมีชื่อว่า Rabbit เมื่ออายุเพียงห้าขวบ เมื่อโจอายุได้ 14 แม่ของเธอก็ป่วยเป็นโรคเส้นโลหิตตีบ แล้วก็เสียชีวิตในปี 1990

แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้ถือกำเนิดขึ้นในปีเดียวกัน ขณะที่เธออยู่บนรถไฟ โจแอนก็แว่บความคิดเกี่ยวกับเด็กกำพร้าผู้ค้นพบว่าเขาคือพ่อมด เธอรีบตรงกลับบ้านและบันทึกความคิดนี้ลงบนกระดาษทันที และนี่คือจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในหกปีต่อมา

ความตกต่ำในชีวิตของเจ.เค โรว์ลิ่ง เริ่มต้นจากการเลิกรากับสามี ระหว่างนั้นเธอกลายเป็นคนว่างงาน ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังอย่างยากลำบาก

เธอเสนอผลงานให้กับ 6 สำนักพิมพ์แต่ไม่มีสำนักพิมพ์ใดเลยที่สนใจผลงานของเธอ จนในที่สุดสำนักพิมพ์ที่ 7 ก็รับพิมพ์หนังสือของเธอโดยให้ค่าลิขสิทธ์จำนวน 4000 ดอลลาร์ และตีพิมพ์ด้วยยอดพิมพ์ที่ต่ำกว่า 1000 เล่มในปี 1997

ปี 1998 แฮรี่ พอตเตอร์ถูกตีพิมพ์ที่สหรัฐอเมริกา ไม่นานคนทั้งโลกก็ได้รู้จักกับปรากฏการณ์แฮรี่ฟีเวอร์ จนได้นำไปทำเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลไปทั่วโลก

ที่มา : secretmagicland.blogspot.com

 

 

5. แจ็ค หม่า

แจ็ค หม่า เกิดในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดีนัก แต่เขาชื่นชอบภาษาอังกฤษมาก และพยายามเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองมาโดยตลอด

เขาไม่ใช่คนเรียนเก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดถึง 2 ครั้ง และเมื่อเรียนจบเขาก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วยเงินเดือนประมาณ 500-600 บาทเท่านั้น

แต่เมื่อปี 2538 เขาได้เดินทางไปเป็นล่ามที่เมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา และได้รู้จักกับอินเทอร์เน็ต หลังจากกลับประเทศจีน หม่าจึงเริ่มต้นทำสมุดหน้าเหลืองออนไลน์เกี่ยวกับธุรกิจเป็นครั้งแรก แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ จนได้จัดตั้งบริษัทอีคอมเมิร์ซ Alibaba ขึ้น

จนในปัจจุบันก็เป็นเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน และได้ผลักให้หม่ากลายเป็นหนึ่งในเศรษฐีที่รวยที่สุดในจีน

ที่มา : money.kapook.com

 

 

6. เลดี้ กาก้า (Lady Gaga)

สเตฟานี่ โจแอนน์ แองเจลินา เจอร์มาน็อตตา หรือ เลดี้ กาก้า ได้ถูกปลูกฝังการเล่นเปียโนมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และฉายแววการเป็นศิลปินตั้งแต่อายุ 13 ปี ตอนนั้นเธอได้เขียนเพลงบรรเลงเปียโนด้วยตัวเองเพลงแรก และแสดงต่อหน้าฝูงชนเมื่ออายุได้ 14 ปี

          จากนั้นเมื่อเธออายุได้ 17 ปี เธอก็เข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะทิสช์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก แต่หลังจากเรียนที่นี่ยังไม่ทันจะพ้นปี เธอก็รู้สึกว่าเธอมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนอื่น และไม่อยากจะเรียนในโรงเรียนอีกต่อไป จึงออกไปแสวงหาช่องทางในการทำงานในวงการดนตรี โดยทำงานในคลับเมื่ออายุได้ 18 ปี

          หลังจากออกจากทำงานในคลับมาได้เพียง 1 ปี เธอก็ได้เข้าร่วมบันทึกเสียงกับนักร้องฮิปฮอปเพื่อประกอบหนังสือเสียงสำหรับเด็ก จากนั้นไม่นานนักก็ตั้งวงดนตรีชื่อ สเตฟานี่ เจอร์มาน็อตตา หรือ SGBand ร่วมกับเพื่อนในนิวยอร์ก ก่อนที่งานเพลงจะไปเข้าตาโปรดิวเซอร์อย่างโจน วูลพิซ เข้า และถูกติดต่อให้มาทำงานเพลงในวงการบันเทิง

จากนั้นความสามารถในการแต่งเพลงของเธอก็ไปเข้าตาโปรดิวเซอร์ ร็อบ ฟูซารี ซึ่งกำลังมองหานักร้องหญิงมาร้องนำในวงดนตรีวงใหม่ เธอจึงได้มีโอกาสมาทำงานเพลงร่วมกับร็อบ ผู้ซึ่งสังเกตว่า เสียงของสเตฟานี่นั้นคล้ายกับเสียงของ เฟรดดี้ เมอร์คูรี นักร้องนำวงควีน เขาจึงชอบทักทายกับสเตฟานี่ด้วยการร้องเพลง Radio Ga Ga กับเธอทุกครั้งที่เจอ และนี่คือที่มาของชื่อในวงการ เลดี้ กาก้า

ที่มา : musicstation.kapook.com

 

 

7. ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio)

อีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือ ที่กว่าจะมีวันนี้ได้ (วันที่ได้ออสการ์) ก็ต้องรอจนถึงอายุปาเข้าไป 42 ปี หลังจากมีผลงานกว่า 30 เรื่อง

แต่ไม่ว่าจะชวดรางวัลไปกี่ครั้ง ทุกภาพยนตร์ที่เฮียลีโอเล่น ก็เล่นด้วยความตั้งใจและเต็มที่ จนในที่สุดกรรมการออสการ์ก็มองเห็นและยกรางวัลนักแสดงนำชายนี้ให้กับเฮียเสียที

ที่มา : th.wikipedia.org