[8.5/10] รีวิว Kong: Skull Island คอง มหาภัยเกาะกะโหลก
รีวิว Kong: Skull Island คอง มหาภัยเกาะกะโหลก
ภาพยนตร์รีเมคภาคใหม่ ที่น่าจะถูกใจคอหนังแอคชั่นหลายๆ คน กลับมาคราวนี้คองพาเราไปเจอกับเกาะกะโหลก ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดเอฟเฟกต์อลังการ และยังแทรกเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ที่แสวงหาความเป็นอำนาจ บนฉากเบื้องหลังเป็นยุคสงครามที่อเมริกาบุกไปรบกับประเทศต่างๆ เพื่อแสดงอำนาจผ่านอาวุธยุทโธปกรณ์
รู้จักกับ Kong: Skull Island (2017)
- เป็นหนังรีเมค (remake) ของ King Kong เวอร์ชันต้นฉบับ โดยนำมาเล่าใหม่ผ่านตัวละครที่แสดงโดย Tom Hiddleston รับบทเป็นทหารเก่าผู้มารับหน้าที่นำการเดินทางคณะทหารและนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ที่ต้องการสำรวจเกาะหัวกะโหลกเพื่อค้นหาสัตว์ประหลาดยักษ์ และสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังไม่มีมนุษย์จากชาติอื่นค้นพบ ซึ่ง Kong ในเวอร์ชันนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีการสร้างมาเลย
- กำกับโดย จอร์แดน โว้ค-โรเบิร์ต (Jordan Vogt-Roberts) ผู้กำกับหนัง The Kings of Summer
- นำแสดงโดย ทอม ฮิดเดิลสตัน (Tom Hiddleston), บรี ลาร์สัน (Brie Larson) เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Room (2015) และ ซามูเอล ลี แจ็กสัน (Samuel L. Jackson)
หนังแฝงความรู้ประวัติศาสตร์
ในช่วงต้นเรื่อง หนังได้เกริ่นเรื่องราวสงครามตามช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (1940s) ไล่มาจนถึงยุคสงครามเวียดนาม (1970s) ซึ่งคนที่สนใจประวัติศาสตร์น่าจะรู้สึกอินไปกับตรรกะของบทได้ดีเลย ทั้งเรื่องการสร้างขีปนาวุธเพื่อแสดงถึงความก้าวล้ำของสหรัฐ รวมไปถึงการบุกไปประเทศต่างๆ เพื่อแสดงความเป็นอภิมหาอำนาจ โดยเส้นเรื่องหลักๆ จะอยู่ในยุคที่ ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
ศัตรูไม่มีอยู่จริง จนกระทั่งเราออกตามหา
หนังเรื่องนี้แทรกความคิดแบบประเทศมหาอำนาจตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นที่พูดถึงทหารยศสูงนายหนึ่ง ที่ชอบการออกรบเป็นพิเศษ พูดถึงอาวุธของตัวเองว่าดีที่สุด ไม่มีอะไรจะทำลายล้างได้ รวมถึงยังแสดงออกถึงความคิดแบบมหาอำนาจที่เมื่อโดยใครหยามแล้วต้องเอาคืนให้สำเร็จ ทั้งหมดนี้หนังได้เล่าผ่านตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือ แพ็คการ์ด (Packard) ทหารยศใหญ่ที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็บอกเล่าในมุมของทหารลูกน้องที่บางครั้งก็ไม่ได้มีความคิดสุดโต่งเหมือนหัวหน้า แต่ก็ต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย (ถึงจะไม่เต็มใจก็ตาม)
ศัตรูไม่มีอยู่จริง จนกระทั่งเราออกตามหา
หนังเรื่องนี้แทรกความคิดแบบประเทศมหาอำนาจตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นที่พูดถึงทหารยศสูงนายหนึ่ง ที่ชอบการออกรบเป็นพิเศษ พูดถึงอาวุธของตัวเองว่าดีที่สุด ไม่มีอะไรจะทำลายล้างได้ รวมถึงยังแสดงออกถึงความคิดแบบมหาอำนาจที่เมื่อโดยใครหยามแล้วต้องเอาคืนให้สำเร็จ ทั้งหมดนี้หนังได้เล่าผ่านตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือ แพ็คการ์ด (Packard) ทหารยศใหญ่ที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็บอกเล่าในมุมของทหารลูกน้องที่บางครั้งก็ไม่ได้มีความคิดสุดโต่งเหมือนหัวหน้า แต่ก็ต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย (ถึงจะไม่เต็มใจก็ตาม)
สถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่อยู่ที่เวียดนาม
นอกจากเส้นเรื่องในหนังจะเกิดในช่วงสงครามเวียดนามปี 1970s แล้ว สถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้ก็อยู่ที่ประเทศเวียดนามด้วย ใครที่เคยไปฮานอย และมีโอกาสได้ไปเที่ยวฮาลองบก และ ฮาลองเบย์ ถ้ามาดูภาพยนตร์เรื่องนี้อาจรู้สึกคุ้นกับสถานที่แทบทุกฉากเลย หรือใครอยากไปตามรอยหนังก็ไปได้ง่ายๆ
ไม่ใช่หนัง Drama แต่เป็น Action-Comedy
แน่นอนว่า Kong ถูกสร้างให้เป็นหนัง action อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่สงสัยว่าเป็นแนวเครียดหรือตลก ก็บอกเลยว่าไม่ใช่หนังที่ดูแล้วเครียดแน่นอน เพราะตั้งแต่ตัวนักแสดงเองก็มีความตลกเป็นทุนเดิม มุกต่างๆ ถูกปล่อยออกมาแบบไม่ล้นเกิน ทำให้ตลอด 2 ชั่วโมง เป็นการดูที่ผ่านไปไวมาก ลองไปดูกัน !
ไม่ใช่หนัง Drama แต่เป็น Action-Comedy
แน่นอนว่า Kong ถูกสร้างให้เป็นหนัง action อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่สงสัยว่าเป็นแนวเครียดหรือตลก ก็บอกเลยว่าไม่ใช่หนังที่ดูแล้วเครียดแน่นอน เพราะตั้งแต่ตัวนักแสดงเองก็มีความตลกเป็นทุนเดิม มุกต่างๆ ถูกปล่อยออกมาแบบไม่ล้นเกิน ทำให้ตลอด 2 ชั่วโมง เป็นการดูที่ผ่านไปไวมาก ลองไปดูกัน !
อีกหนึ่งความดีงามของการดูหนังรอบนี้ ก็คือระบบ MX4D ของ SF World Cinema ที่ตอนแรกเราคิดว่า เหย..มันจะทำให้เสียอรรถรสการดูหนังหรือเปล่า แต่พอดูแล้วรู้สึกว่ามันเนียนไปกับหนังดีมาก จังหวะการปล่อยลมปล่อยน้ำต่างๆ ก็ไม่ได้แย่งซีนจากหนัง แต่กลับทำให้อินกับหนังมากขึ้น (เออแปลกดี) ข้อเสียอย่างเดียวก็คือกลิ่นลมที่ไม่ค่อยชอบเท่านั้น นอกนั้นดีงามมาก อยากให้ไปลองกัน
สรุป Kong: Skull Island มหาภัยเกาะกะโหลก
- เอาไป 8.5 คะแนน
- บทหนัง มีการผูกเรื่องประวัติศาสตร์เข้าไป ทำให้คนที่สนใจตรรกะในหนังอย่างเราเชื่อ และอินไปกับหนัง
- เอฟเฟกต์ต่างๆ ถูกโชว์ออกมาเยอะมาก ตั้งแต่พวกเรื่องระเบิด รวมถึงสัตว์มหัศจรรย์ทั้งหลาย อย่างคิงคองตัวบิ๊กเบิ้ม เป็นต้น
- เพลงประกอบ ใส่ออกมาได้อารมณ์ยุคนั้นมาก คือไม่คิดว่าหนังสงคราม คิงคอง จะใช้เพลงสนุกๆ มาประกอบ ทำให้อยากไปหาฟังต่อเพิ่ม
- การดำเนินเรื่อง ไม่น่าเบื่อเลย ถึงแม้ว่าช่วงกลางๆ เป็นต้นไป บทบางอย่างอาจไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่ก็ยังสนุกและดูไปได้จนจบ
- นักแสดง ความดีงามอย่างแรกคือหุ่นของพี่ทอม อย่างสองคือความชิคของนางเอก และโดยรวมนักแสดงทุกคนเล่นได้ดีมากๆ (รวมถึงคิงคองด้วย)
- บท 70%
- เอฟเฟกต์ 96%
- การดำเนินเรื่อง 80%
- เพลงประกอบ 89%
- นักแสดง 83%
- คะแนนรวม 85%