ระยะเวลา 10 วันที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงฯ ถือว่าไม่ง่ายเลยสำหรับทีมหมูป่าอะคาเดมี่ ทั้ง 13 ชีวิต พวกเขาสามารถเอาตัวรอดและช่วยเหลือตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง เหตุการณ์นี้ได้ทีมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้เด็กๆ ออกมาจากในถ้ำจนสำเร็จ จนกลายเป็นภารกิจระดับโลก ในที่สุดก็ได้เดินทางมาถึงตอนจบอย่างแฮปปี้แล้วค่ะ เมื่อทุกคนร่วมกันแถลงข่าว ผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทย และน่าจะเป็นที่เดียวด้วย ด้วยคำถามจากสื่อมวลชนทั่วโลก มาดูกันว่าพวกเขาทั้งหมดพบเจออะไรกันบ้าง เมื่ออยู่ในจุดที่ไม่สามารถล้วงรู้อนาคตได้เลย เข้าไปในถ้ำทำไม โค้ชเอก เปิดเผยว่า หลังซ้อมฟุตบอลเสร็จ เด็กๆ อยากเข้าไปเที่ยวในถ้ำ เพราะอยากรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง ที่ผ่านมาตนเคยเข้าไปมาก่อนแล้วจึงพอรู้เส้นทางอยู่บ้าง เลยกำหนดเวลาให้ 1 ชั่วโมง แล้วต้องออกมาก่อน 5 โมงเย็น เพราะน้องบางคนต้องกลับไปเรียนพิเศษ พร้อมยืนยันไม่ได้เข้าไปเลี้ยงวันเกิดใครในถ้ำ ระหว่างเดินกลับน้องบิว ตะโกนว่าเจอน้ำและถามว่าหลงทางกันหรือเปล่า โค้ชเอกตัดสินใจไปตรวจสอบเส้นทางว่าสามารถออกไปได้หรือไม่ ด้วยการมุดน้ำลงไปปรากฏว่าพื้นข้างล่างเป็นทรายข้างบนเป็นหิน พบว่าออกไม่ได้แล้วต้องหาทางออกใหม่ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่า ติดถ้ำกันแล้ว เมื่อรู้ว่าติดถ้ำเกิดอะไรขึ้นบ้าง ช่วงแรกโค้ชเอกพยายามมุดน้ำ เพื่อหาทางออก โดยผูกเชือกไว้กับตัวแล้วว่ายไปหาทางออก ปรากฎว่าออกไม่ได้จึงหาทางออกใหม่ เด็กๆ เริ่มกังวลว่าจะกลับบ้านไม่ได้ โดยทุกคนคิดว่ายังติดแค่แป๊บเดียวเดี๋ยวน้ำลดก็คงกลับได้ ตอนหลังเริ่มรู้ตัวว่าไม่น่าจะกลับได้ในเร็ววัน ทุกคนตั้งสติหาทางแก้ไข เพื่อออกไปให้ได้ พร้อมให้กำลังใจกันว่าต้องสู้ต่อห้ามต้องท้อ ใช้ชีวิตอย่างไรภายในถ้ำ ดื่มน้ำจากหิ้นย้อยในถ้ำ เพื่อเอาตัวรอด เพราะไม่มีอาหารติดตัว ซึ่งเป็นการแก้ไขข่าวตอนแรกที่บอกว่าทุกคนน่าจะมีอาหารติดตัวเข้าไป สรุปว่าไม่มีใครมีอาหารติดตัวเข้าไปเลย เนื่องจากไม่มีอาหารโค้ชเอกบอกให้ทุกคนอยู่นิ่งๆ เพื่อให้ใช้แรงน้อยที่สุด ระหว่างนั้นก็กินน้ำจากในถ้ำซึ่งไหลลงมาในจุดที่พวกเขาอยู่ โค้ชให้ใช้ไฟฉายทีละกระบอก เพื่อประหยัดไฟ โดยเก็บไฟฉายกระบอกใหญ่ที่ไฟแรงที่สุดไว้ เมื่อหิวไม่ให้นึกถึงกับข้าว ให้นึกถึงข้าวผัดกับน้ำพริกอ่อง หาทางรอดออกจากถ้ำ ผ่านไป 4 – 5 วันทุกคนเริ่มหมดแรงแต่วางแผนเอาตัวรอด ช่วยกันขุดผนังถ้ำด้วยหินหวังเจอทางออก โดยสลับกันไปขุด โค้ชเอกบอกเด็กทุกคนว่ายน้ำเป็นจะว่ายน้ำไปยังปลายถ้ำแต่น้ำท่วมสูงเลยไม่ไป อีกทั้งตอนแรกมีแผนว่าจะเดินไปหาปลายถ้ำ เพราะเคยได้ยินว่ามีทางออกที่ปลายถ้ำ แต่เกิดความกังวลว่าถ้าเดินไปแล้วไม่เจอปลายถ้ำ แล้วหลงทางก็คงไม่น่าจะมีใครเจอเลยตัดสินใจอยู่บริเวณเนินนมสาวที่เดิม ปาฏิหาริย์เกิดพบคนเข้ามาช่วย ผ่านไป 10 วันเด็กๆ พบว่ามีคนเข้ามาช่วยจริงๆ โดยโค้ชเอกได้ยินเสียงคนคุยกัน จึงให้คนที่มีไฟฉายไปดู ทุกคนทักทายเป็นภาษาไทยแต่พบว่าเป็นชาวต่างชาติ น้องอดุลย์ทำหน้าที่คุยกับเจ้าหน้าที่ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่มี และเริ่มสื่อสารกัน การเจกับคนที่เข้ามาช่วยค้นหาชุดแรกทำให้ทีมหมุป่ามีความหวังขึ้นทันที ระหว่างรอออกจากถ้ำ หน่วยซีล 3 นาย และหมอทหาร 1 นายเข้าไปอยุ่กับเด็กๆ เพื่อประเมิณอาการ หาทางออก และชวนเด็กๆ เล่นหมากฮอสกัน เพื่อผ่อนคลาย หน่วยซีลแจกจ่ายฟลอยด์ให้เด็กห่ม และปูพื้นเพื่อให้ความอบอุ่น รวมถึงแบ่งปันอาหารซึ่งกันและกัน ลำดับคิวออกจากถ้ำ ตามข่าวที่บอกว่าเลือกเด็กที่ชื่อมงคลก่อนเพื่อความเป็นมงคลนั้นไม่เป็นความจริง แต่โค้ชเอกคุยกับหน่วยซีล และได้ความว่าจะให้น้องที่บ้านอยู่ไกลออกก่อน ด้วยความเข้าใจว่าด้านนอกไม่ได้มีคนมารอช่วยเหลือมากนัก และหวังว่าจะให้เด็กที่อยู่บ้านไกลที่สุดออกไปแล้วไปบอกครอบครัวอื่นๆ ว่าพวกเขาปลอดภัยดี (เดาว่าหมอ และหน่วยซีลไมไ่ด้แจ้งว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นเพื่อความสบายใจ) โค้ชเอกเสริมว่าใครออกไปแล้วให้บอกครอบครัวว่าทำกับข้าวรอไว้ด้วย (หัวเราะ) จะกลับเข้ามาอีกมั้ย โค้ชเอกบอกถ้ามีคนชวนกลับไปถ้ำจะไปใหม่ แต่เป็นไกด์แค่หน้าถ้ำ จะทำอะไรหลังจากนี้ ทุกคนจะบวชให้จ่าแซม เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกู้ภัยที่ประสบความสำเร็จ และทุกคนอยู่ในระหว่างที่จะฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจให้กลับไปอยู่กับชีวิตปกติของทุกคนก่อนที่จะเดินเข้าถ้ำ และช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์โค้ชเอก และคนอื่นๆ ในทีมหมูป่าพูดว่า บทเรียนครั้งนี้สอนให้พวกเขาไม่ประมาท และหลังจากนี้ต่อไปทำอะไรจะคิดให้รอบคอบมากกว่าเดิม และ Mango Zero ก็หวังว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ทุกคนได้คิดถึงความไม่ประมาทด้วยเช่นกัน