หากใครที่ดู MV ‘Kimi wa Melody’ หรือ ‘เธอคือ…เมโลดี้’ จนจบเราเชื่อว่าชุดที่เมมเบอร์ใส่ชุดไทยประยุกต์ใน MV น่าจะติดต่อตรึงอยู่ในใจ เพราะชุดที่พวกเธอใส่นั้นน่ารัก และแตกต่างจากชุดอื่นๆ ที่เคยมี และหากดูเครดิตจะเห็นว่าชุดที่เมมเบอร์ใส่นั่นมีชื่อว่า ‘Siam Lolita’ ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากพัสตราภรณ์ของชนชั้นสูงในสมัยรัชกาลที่ 5 และตุ๊กตาชาววังมาผสมผสานกันกับความเป็นไอดอล สิ่งที่เราสนใจคือใครที่อยู่เบื้องหลังชุดนี้? ในเครดิตของ MV เราได้เจอชื่อของสไตล์ลิสต์ชุด Siam Lolita นั่นคือ ‘บอล – จาตุรณ แร่เพชร’ ไอเดียของชุดไทยประยุกต์ที่เมมเบอร์ใส่นั้นมาจากเขาคนนี้ และที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้ทำชุดนี้ชุดแรก แต่ชุดที่เซ็มบัตสึใส่ทั้งหมดตั้งแต่ซิงเกิ้ล Aitakatta จนมาถึง Kimi wa Melody เขาคนนี้ก็เป็นสไตล์ลิสต์มาโดยตลอดดูแลการตัดเย็บชุดของ BNK48 มาตั้งแต่แรก เรียกว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มต้นจนเข้าใจว่าน้องๆ แต่ละคนเหมาะสมจะใส่ชุดแบบไหน ซึ่งเราจะพาไปเจาะถึงเบื้องหลังของการทำคอสตูมที่โอตะทุกคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน และถ้ารู้แล้วคุณจะเข้าใจวิธีการทำงานของทีมคอสตูมมากขึ้น Siam Lolita คือชุดแรกของ BNK48 ที่เอาชุดแบบไทยมาประยุกต์เพื่อให้เป็นชุดของไอดอล บรีฟจากออฟฟิเชียลบอกสไตล์ลิสต์ว่าอยากจะได้ชุดสำหรับถ่าย MV ที่เป็นชุดไทยประยุกต์แต่น้องใส่แล้วสวย น่ารัก และไม่เชย การเลือกว่าใครจะใส่ชุดไหน ค่อนข้างยากเพราะต้องดูตั้งแต่น้องคนนั้นทำผมทรงอะไร เครื่องหัวเป็นแบบไหน สีผิวเป็นอย่างไร สรีระร่างกายเป็นแบบไหน ไปจนถึงต้องเอาชุดไปเทียบกับเซ็ตติ้งสำหรับถ่าย MV ด้วยเพื่อดูว่าชุดจะไม่จมไปกับฉาก และน้องๆ ใส่แล้วก็ยังน่ารักอยู่ ชุดที่ทำยากชุดคือชุดของเนย ซึ่งเป็นเซ็นเตอร์เนื่องจากต้องทำให้เนย เด่นที่สุดแต่รายละเอียดก็ต้องไม่เยอะเกินไปและไม่น้อยเกินไป ทุกชุดทั้ง 21 แบบใช้เวลาตั้งแต่วัดตัวไปจนถึงตัดเย็บเพียง 3 สัปดาห์ บรีฟที่ได้รับคือขอชุดไทยประยุกต์ร่วมสมัยน้องๆ ใส่แล้วน่ารักสมวัย ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้ทำชุดไทยประยุกต์ร่วมสมัยสำหรับเมมเบอร์ BNK48 ที่ใส่แล้วน่ารัก สมวัย แต่ไม่เชย บอลเล่าว่าค่อนข้างกดดัน เพราะ MV ต้นฉบับของ AKB48 ทำชุดออกมาได้ดีมาก เขาจึงต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อดูแลเรื่องการตัดเย็บชุด ‘Siam Lolita’ ให้ออกมาดีที่สุด แต่ด้วยความที่ชอบชุดสมัยยุครัชกาลที่ 5 อยู่แล้ว เลยเอาความชอบนั้นมาผสมกับบรีฟที่ได้รับจากทาง BNK48 ในการออกแบบ ความที่ทำงานอยู่กับทาง BNK48 มาตั้งแต่แรกเลยรู้ว่าน้องๆ แต่ละคนมีคาแรคเตอร์แบบไหน และแต่งตัวแบบไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด การทำงานเลยง่ายขึ้นมาบ้าง เพราะทำให้รู้ว่าใครควรเสริมอะไรไปแล้วจะสวย ใครลดทอนรายละเอียดบางอย่างลงแล้วจะโดดเด่น และดูหลากหลายไม่น่าเบื่อ ดังนั้นบางคนอาจจะมีแพรสะพาย ขณะที่บางคนอาจไม่มี แต่ใส่โบว์สีสันสดใสจะสวยกว่า ทำให้แต่ละชุดมีเอกลักษณ์ที่ต่างกันทำให้ 1 ชุด มีแค่ 1 ตัวเท่านั้น ทั้งหมด 21 ชุดจึงไม่เหมือนกันเลย การออกแบบชุดแต่ล่ะคนมีหลายดราฟต์มาก การออกแบบชุดให้แต่ละคนจะต้องเริ่มจากภาพรวมทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงดูเรื่องสี เรื่องทรงผม เครื่องหัว รูปแบบของแขนเสื้อ สี และอีกมากมาย โดยระหว่างที่ออกแบบจะมีการกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าเมมเบอร์คนไหนจะใส่ชุดสีอะไร โบว์แบบไหน เข็มกลัดแบบไหน สายแพรสะพายสีอะไร เหมาะกับใคร หากมีการวางแบบแล้วส่วนใดส่วนหนึ่งมีความขาดๆ หรือเกินๆ ก็จะต้องปรับใหม่จนกว่าจะลงตัวที่สุด ไม่ได้จบแค่การออกแบบในกระดาษแล้วตัดออกมาเป็นชุดเลย ดังนั้นชุดของแต่ละคนจึงมีหลายดราฟต์มากๆ และปรับแก้หลายรอบในช่วงหลังจากวัดตัวตัดชุดเพื่อความเหมาะสม การวางโทนสีมาจากโทนสีของตุ๊กตาชาววังแต่เลือกคู่สีที่ตัดกัน การเลือกโทนทีของชุดนั้นมีแรงบันดาลใจมาจากโทนสีของตุ๊กตาชาววัง แต่เลือกโทนสีแบบไทยๆ ที่มีคู่สีตัดกันแล้วลดโทนสีลงมา โดยโทนสีนั้นเอาความหมายของ MV ที่พูดถึงการส่งต่อความฝันและความทรงจำระหว่าง BNK48 รุ่น 1 ไปยัง BNK48 รุ่น 2 มาแบ่งเป็นโทนสีคือโทนร้อน กับโทนเย็น บางคนก็มีการหยิบยืมโทนสีระหว่างรุ่น 1 และรุ่น 2 ด้วยเพื่อให้ยืนด้วยกันแล้วโทนสีไม่กระโดด นอกจากนี้ต้องดูถึงรายละเอียดอื่นๆ อีกว่าสีของชุดที่น้องๆ ใส่นั้นเมื่ออยู่ในฉากของ MV แล้วจะไม่จมไปกับพื้นหลัง หรือโดดออกมาจากคนอื่นเกินไป ซึ่งก่อนตัดเย็บชุด ทีมคอสตูมก็ต้องไปเทียบสีที่หน้างานเพื่อดูว่าชุดของเมมเบอร์แต่ละคน ไม่ได้ทำเสื้อผ้าแค่น้องใส่สวยอย่างเดียวแต่ต้องลงตัวทั้งกับฉากและเมมเบอร์คนอื่น ดังนั้นงานสีจึงเป็นเรื่องที่ใช้เวลายากมากๆ ในการจัดการ ชุดที่ทำยากที่สุดคือชุดของ เนย ชุดของเนย ที่เป็นเซ็นเตอร์ทำยากสุดโดยต้องคำนึงถึงการทำอย่างไรให้น้องยังโดดเด่นทั้งเครื่องแต่งกาย และโทนสีของเสื้อผ้าที่ใช้คู่สีใหม่แล้วน้องยังน่ารักอยู่ ซึ่งเฉดสีที่ใช้คือเหลือง – มินท์ รวมถึงการที่เนยเป็นคนตัวเล็กจึงยิ่งต้องหาวิธีทำอย่าไงรให้เนยโดดเด่น ในตอนแรกมีความกังวลว่าถ้าน้องเนย อยู่ท่ามกลางเมมเบอร์คนอื่นที่มีกลุ่มสีพลาสเทลเยอะๆ แล้วเนยอาจจะแปลกเกินไปไม่โดดเด่นและความเป็นเซ็นเตอร์ของเนยไม่สื่อออกมา แต่พอเปลี่ยนที่สไบ เป็นสีเหลืองก็ทำให้เนยไม่แปลก และยังคงโดดเด่น ไม่เยอะเกินไปและไม่น้อยเกินไป การหาความพอดีของเนยจึงใช้เวลาเยอะมากแต่พอทำเสร็จแล้วก็ลงตัว สิ่งที่ใช้เวลามากที่สุดคือการใส่รายละเอียด การใส่รายละเอียดลงไปในชุดถือเป็นช่วงที่ใช้เวลามากที่สุด โดยหลังจากที่แก้ขนาดของชุดแล้ว จากนี้ไปคือการลงรายละเอียดเช่นขนาดของโบว์ การวางแพรสะพาย การใส่รายละเอียดของเข็มกลัดโดยระหว่างการใส่รายละเอียดต้องนึกด้วยว่าหน้าของคนที่ใส่ชุดนี้คือใคร เพราะบางอย่างอาจจะเกินตัวน้องไป สมมติถ้าวางตำแหน่งโบว์ผิด การดึงสายตาจะเปลี่ยนไป ชุดอาจจะโดดเด่นกว่าคนไปเลย หรือคนเด่น แต่ชุดดับ ซึ่งหากสังเกตดูบางคนจะมีโบว์ใหญ่อันเดียว บางคนมีโบว์เยอะแยะมากมาย รายละเอียดเล็กน้อยตรงนี้ยึดถือจากว่าใครใส่เป็นหลักเพื่อให้เสื้อออกมาลงตัวที่สุด ทำงานร่วมกับน้องๆ เพื่อตัดชุดให้เข้ากับน้องที่สุด บอลเล่าว่าเวลาวัดตัวเพื่อเตรียมตัดชุด ก็จะคุยกับน้องๆ เสมอ เพื่อปรับแบบไปพร้อมๆ กัน เช่นแขนยาวหรือแขนสั้นแบบไหนมั่นใจกว่ากัน สั้นขนาดไหน ยาวเท่าไหร่ มีการแลกเปลี่ยนกัน คุยกันจนเข้าใจแล้วว่าเคมีคนใส่เป็นส่วนหนึ่งของชุด ถ้าเคมีไม่เข้ากันกับชุด น้องจะมีความรู้สึกไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงต้องปรับให้ชุดที่น้องใส่เข้ากับน้องมากที่สุด แต่ส่วนใหญ่ทุกคนชมว่าน่ารักดี
