category [Covid-19 Phenomena] New Normal ในมุมการทำงาน ที่เปลี่ยนไปหลังผ่านพ้นวิกฤตโควิดระบาด


: 18 พฤษภาคม 2563

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การดำเนินชีวิตที่เคยมีมาตลอดเปลี่ยนอย่างฉับพลัน เมื่อการเดินไปซื้อของหน้าปากซอยต้องเตรียมตัวมากกว่าที่เคย แผนที่เที่ยวถูกพับไปอย่างไร้กำหนด ในวันที่แอลกฮอล์ล้างมือสำคัญกว่าลิปสติก โควิดเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเราด้วยคำว่า New Normal

แต่ถึงแม้จะต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน การทำงานก็ยังต้องดำเนินต่อไป ครึ่งปีแรกของ 2020 จึงเกิดการ Prototype หรือทดลองทำงาน(แบบจริงจัง)จากที่บ้านกันถ้วนหน้า เรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคของการทำงานจากที่บ้านอย่างแท้จริง (Work From Home Era) เกิดเป็นการประชุม นัดพบลูกค้า คิด เขียน แก้แบบ หรือแม้แต่การสัมภาษณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นห่างจากเตียงนอนของเพียงคุณไม่กี่เมตร

และเมื่อสถานที่เปลี่ยน รูปแบบการทำงานเปลี่ยน ทำให้หลายภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อการทำงานที่เหมาะสมมากขึ้น บางเจ้าต้องลดทอนบางส่วนของตัวเองเพื่อรักษาส่วนสำคัญ ขณะที่บางเจ้าก็ได้พัฒนาขีดความสามารถของคนในบริษัทมากขึ้น

ซึ่ง New Normal หรือความปกติใหม่ในมุมมองการทำงานจากที่บ้านแบบใหม่นั้น Mango Zero ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลง และโอกาสที่เป็นไปได้ในความเห็นของพวกเรา ทั้งรูปแบบชั่วคราวและถาวร ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

เมื่อออฟฟิศแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ Social Distancing 

ก่อนที่โควิดจะระบาด บริษัทรุ่นใหม่ หรือบริษัทใหญ่ๆ ที่มีพนักงานเป็นคนรุ่นใหม่ ต่างก็มีวิธีคิดในการออกแบบออฟฟิศที่เน้นพื้นที่ส่วนกลาง ไม่มีคอกกั้น ทุกคนทำงานได้อย่างเสรี นั่งทำงานที่ไหนก็ได้ กระทั่งโควิด 19 มาถึง และเราต้องใส่ใจกันเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย และระยะห่างทางสังคมที่มากขึ้น นั่นทำให้ออฟฟิศแบบ Open Space ในปัจจุบันอาจไม่ตอบโจทย์อีกแล้ว

ในหลายประเทศที่เกิดการระบาดอย่างเช่นจีน เกาหลี ออสเตรเลีย อิตาลี หรือญี่ปุ่น ที่เกิดการระบาดของไวรัสนี้ และกลับมาเปิดใหม่อีกครั้งต่างก็ต้องปรับผังออฟฟิสกันยกใหญ่ และมองถึงการปรับออฟฟิศในอนาคตให้สอดคล้องในเรื่องของ ความสะดวกในการทำงานที่ทุกคนพร้อมจะเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ทันที การเว้นระยะห่างทางสังคม และการใช้เทคโนโลยีมาช่วยลดการสัมผัสกันมากขึ้น

หลายเว็บไซต์จากต่างประเทศได้พูดถึงวิถีชีวิตและการปรับตัวของออฟฟิศยุคใหม่เพื่อป้องกันการระบาดของโควิดไว้ ซึ่งส่วนใหญ่มีข้อมูลการเปลี่ยนของออฟฟิศที่ตรงกันได้คือ

  • การเว้นระยะห่างภายในออฟฟิศ เว้นพื้นที่กันให้มากขึ้นเพื่อลดการสัมผัสกันโดยไม่จำเป็น
  • อุปกรณ์ที่ต้องจับร่วมกันเป็นประตู หรือลูกบิดจะได้รับการทำความสะอาดบ่อยขึ้น
  • ตรวจวัดอุณหภูมิและเช็คสุขภาพของพนักงาน ใครที่ไข้สูงเกิน 37.5 จะถูกเชิญให้กลับไปทำงานที่บ้าน
  • เปลี่ยนออฟฟิศเป็นรูปแบบปิด มีฉากกั้นเหมือนกันออฟฟิศยุคเก่า
  • เปิดพื้นที่ส่วนกลางให้กว้างขึ้น เช่นทางเดิน หรือประตู กว้างขึ้นเพื่อง่ายในการสัญจรในออฟฟิศ
  • มีเครื่องหมายเตือนให้เว้นระยะห่างในจุดเสี่ยง หรือพื้นที่ส่วนกลาง เช่นลิฟต์ ครัว ประตูทางเข้าออก
  • ลดการทำกิจกรรมในพื้นที่ส่วนกลาง
  • ทำให้ระบบหมุนเวียนอากาศภายในปลอดโปร่ง
  • มีการทำความสะอาดทุก 3 ชั่วโมง (แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบริษัท)
  • ใช้เทคโนโลยีมาช่วยทำให้ลดการสัมผัสกัน เช่นการลดการใช้เอกสารกระดาษ

โดยรวมแล้วสิ่งที่ออฟฟิศเริ่มคิดและเปลี่ยนกันนั้น เป้าหมายและจุดประสงค์ตรงกันคือ ลดการใกล้ชิดกัน แต่ยังคงทำงานได้ร่วมกันได้เหมือนเดิม ที่น่าสนใจกว่าการออกแบบออฟฟิศคือ บางบริษัทอาจจะไม่มีออฟฟิศจริงจัง หรือลดขนาดของออฟฟิศลงแล้วให้พนักงานทำงานที่บ้านแทน เนื่องจากหลายบริษัทก็ให้ความสำคัญกับการทำงานที่บ้านของพนักงานมากกว่า

ตัวอย่างเช่นทวิตเตอร์ที่เพิ่งประกาศไปว่าอนุญาตให้พนักงานทั้ง 35 สาขาทั่วโลกทำงานที่บ้านไปตลอด และจะเข้าออฟฟิศได้ก็เจอเมื่อจำเป็น ไม่ใช่ว่าจบโควิดแล้วทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมเนื่องจากทุกคนพิสูจน์แล้วว่าอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้

ทวิตเตอร์หมายความว่า ‘ตลอดไป’ นั่นหมายถึงสำหรับทวิตเตอร์เขามองว่าออฟฟิศ อาจไม่ใช้พื้นที่ทำงานอีกต่อไป อาจจะเป็นแค่สถานที่คุยงานเท่านั้น และแน่นอนว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งก็อาจจะเดินเลยตามทวิตเตอร์

ในส่วนของ Matthew Prince CEO ของ Cloudflare ที่แสดงทัศนะว่าหลายบริษัทจะเริ่มให้อิสระในการทำงานกับพนักงานมากกว่าในอดีต รวมถึงให้อิสระว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิสเพื่อทำงานก็ได้ ซึ่งก็ทำให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าออฟฟิศได้เช่นกัน

ถ้าอย่างนั้นอนาคตจากนี้ไปออฟฟิศสำหรับคนทำงาน มีไว้เพื่ออะไร?

วิบากกรรมของมนุษย์เงินเดือนหลังโควิด เสี่ยงตกงาน และรายได้ไม่เท่าเดิม 

โควิดทำให้คนตกงานเป็นจำนวนมาก สถิตล่าสุดจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO ระบุว่ามีคนตกงานทั่วโลก 195 ล้านคน ส่วนอีก 3,300 ล้านคน ได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (เช่นลดเงินเดือน, ลดวันทำงาน, ให้หยุดงานโดยไม่ได้ค่าจ้าง) หลังจากที่เกิดการล็อคดาวน์

นับว่าเป็นวิกฤติที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับคนทำงานนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการว่างงานจะเพิ่มขึ้นหรือน้อยลง Guy Ryder ผู้อำนวยการ ILO บอกว่าอยู่กับครึ่งปีหลังสองปัจจัยนี้จะเป็นอย่างไรระหว่าง เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวเร็วแค่ไหน และ มาตรการการช่วยเหลือของรัฐบาลต่อภาคธุรกิจ

ในส่วนของอาชีพที่มีความเสี่ยงแน่ๆ เพราะวิกฤติโควิด อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีวัคซีนมาป้องกันก็คือ

  • อาชีพเกี่ยวข้องกับการค้าปลีก (พนักงานห้าง พนักงานขาย ฯลฯ)
  • อาชีพเกี่ยวกับการบริการ (งานโรงแรม ร้านอาหาร)
  • อาชีพเกี่ยวกับการผลิตที่มีความเสี่ยงเชิงลบต่อสภาพเศรษฐกิจ หรือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย (พนักงานโรงงานผลิตรถยนต์, อุปกรณ์ไอที, อุปกรณ์ไฟฟ้า)
  • อาชีพเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง (ผู้รับเหมา, คนงานก่อสร้าง, พนักงานขายบ้านและคอนโด หรือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง)
  • อาชีพเกี่ยวกับการเดินทาง (พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน, กัปตันเครื่องบิน )
  • อาชีพเกี่ยวกับวงการบันเทิงหรือความบันเทิง (กองถ่ายหนัง, นักดนตรี, นักแสดง,)
  • อาชีพเกี่ยวกับการเงินการธนาคาร

ในส่วนของเมืองไทยมีการคาดการณ์ว่าจะมีคนที่ตกงานราว 7.13 ล้านคนภายในมิถุนายน จากจำนวนแรงงานในประกันสังคมทั้งหมด 38 ล้านคน ซึ่งเป็นการประเมินของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ซึ่งอาชีพที่ตกงานหรือเสี่ยงตกงานหลังจากนี้ได้แก่

  • พนักงานศูนย์การค้าและค้าปลีก 4.2 ล้านคน
  • ธุรกิจก่อสร้าง 1 ล้านคน
  • ธุรกิจโรงแรม 9.78 แสนคน
  • ร้านอาหาร 2.5 แสนคน
  • สิ่งทอ 2 แสนคน
  • สปาและร้านนวดนอกระบบ 2 แสนคน
  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 7.76 หมื่นคน
  • ธุรกิจบันเทิง  6 หมื่นคน
  • สปาและร้านนวดในระบบ 3.96 หมื่นคน

ส่วนอาชีพที่เสี่ยงว่าจะได้รับผลกระทบจากนี้ก็ตรงกับที่ ILO ประเมินไว้ทั้ง สายยานยนต์ และ สายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทว่าอาชีพที่ได้รับความนิยม และมีโอกาสเติบโตมากที่สุดในช่วงวิกฤติโควิดก็คือ ‘เกษตรกร’ เพราะอาหารยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษยชาติ

และนี่อาจจะเป็นโอกาสที่สร้างการเติบโต และสร้างงานให้คนที่กำลังมองหาโอกาสในวิกฤติก็ได้

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือตอนนี้ลูกจ้างหลายคนถูกลดเงินเดือนลง ซึ่งมีทั้งชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น กับลดเงินเดือนแบบถาวร มีโอกาสสูงเช่นกันที่โครงสร้างของเงินเดือนในหลายอุตสาหกรรมที่เคยฟู่ฟ่ารุ่งเรือง อย่างเช่น เอเจนซีโฆษณา หรือพนักงานฝั่งอสังหาริมทรัพย์ จะถูกปรับโครงสร้างเงินเดือนน้อยลงกว่าในอดีตเพื่อสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจก็เป็นได้

ที่ผ่านมาเมืองไทยเคยมีสถานการณ์ที่ผู้ประกอบการขอลดเงินเดือนพนักงานในเกือบทุกบริษัทมาแล้วเมื่อปี 2540 ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ก็ใช้เวลากว่า 2 ปีสถานการณ์ถึงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ดังนั้นครั้งนี้ก็อาจเป็นไปได้ว่า…เรื่องลดเงินเดือนอาจไม่ได้จบแค่ภายใน 6 เดือนหรือ 1 ปีนี่สิ

ถ้าอย่างนั้นเตรียมรับมือกับพายุรายจ่ายที่ถาโถมไว้หรือยัง?

Work From Home Era เมื่อพื้นที่ทำงานและพักผ่อน ต้องอยู่ในที่เดียวกัน 

เพราะการกักตัวมักไม่เลือกอาชีพ เมื่อต้อง Quarantone องค์กรทุกภาคส่วนจึงต้องปรับตัวในการ Work From Home กันถ้วนหน้า หากเป็นพนักงานออฟฟิศ มาดูกันว่าในยุคที่ต้อง Work From Home มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

เปลี่ยนการสแกนนิ้ว เป็น Morning Con-Call หรือ Check-in ในแอปฯ

ไม่ต้องกลัวรถติดแล้วสแกนนิ้วเกินเวลา ขอแค่ตื่นเพื่อเข้าร่วม Morning Con-Call ให้ทันก็พอ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงมักได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานแหบสเน่ห์กว่าที่เคย (เพราะเพิ่งตื่น) ยิ่งถ้าประชุมอยู่แล้วเจ้านายขอเปิดกล้องกระทันหัน เรียกได้ว่าตื่นเต้นกันแต่เช้าเลยทีเดียว

ในกรณีที่บางบริษัทเก็บข้อมูลการเข้าทำงานด้วยการเช็คอินในแอปพลิเคชันเฉพาะ ก็ดีหน่อยเพราะไม่ต้องเปิดหน้า แต่บางเจ้าก็มีตรวจเข้าทำงานในแอปพลิเคชันอินเทอร์นอลให้รู้สึกอึดอัดกันอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็ชิน

ปัจจัยที่ห้า คือสัญญาณอินเทอร์เน็ต

หากเป็นเมื่อก่อน คุยงานแต่ละครั้งก็แค่เรียกเข้าห้องประชุมแล้วแจกแจงงานก็แยกย้ายไปทำงานต่อได้ แต่เมื่อต้อง Work From Home การนัดคุยงานหรือประชุมเรื่องต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ต้องผ่านทาง Conference Call (หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า Con-Call) เท่านั้น ทีนี้ความยากก็ไม่ใช่แค่การพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ แต่ยังรวมไปถึงตัวกลางในการสื่อสารอย่าง “สัญญาณอินเทอร์เน็ต” อีกด้วย

บางครั้งประชุมในเรื่องยากๆ ยังไม่พอ ระหว่างคุยดันเกิดเสียงกระตุก เสียงหายตอนอีกฝ่ายกำลังพูดคำสำคัญ หรือภาพไม่มา แต่เสียงนำหน้าไป 15 วินาทีแล้วก็มี ยังไม่รวมถึงการส่งไฟล์ที่ต้องเผื่อเวลาส่งอีกสิบนาที ไม่อย่างนั้นอาจเกินเดดไลน์ที่กำหนดไว้อีกด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สัญญาณอินเทอร์เน็ต เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่สำคัญมากสำหรับการ Work From Home เลยทีเดียว

ใกล้ที่ทำงานมากกว่าเดิม

“ใกล้..เกินกว่าที่จะพูดคำใดๆ ออกไป”

หลายคนคิดว่า เมื่อ Work From Home นั้นดี เมื่อที่ทำงานและบ้านคือที่เดียวกัน! อาจฟังดูเหมือนสะดวกสบายและประหยัดค่าเดินทาง แต่ความจริงแล้ว ก็ต้องแลกมากับความเบื่อที่ต้องอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ ด้วยเช่นกัน

ลองจินตนาการถึงทุกเช้าที่ตื่นมา ก้าวออกจากเตียง เดินเพียงสองสามก้าวก็ถึงที่ทำงาน คุณเริ่มรู้สึกหดหู่ เพราะเป็นที่เดียวกับที่คุณถกเถียงกับลูกค้าตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่งทำงานได้สักพัก ก็ลุกไปกินข้าวกลางวันที่ห้องกินข้าว (ซึ่งอยู่ห่างจากห้องทำงานไม่เกินห้าก้าว)

ก่อนจะกลับมาทำงานจนถึงเวลาเลิก อาบน้ำ แล้วเข้าห้องนอน ซึ่งหากคุณไม่ได้ออกกำลังกายเลย แปลว่าหนึ่งวันเราอาจเดินไม่ถึง 500 เมตรด้วยซ้ำ! หากเป็นแบบนี้บ่อยๆ อาจเครียดโดยไม่รู้ตัว และทำห้สุขภาพแย่ทั้งกายและใจได้

วิธีการแก้คือ ลองเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานบ่อยๆ วันนี้ตื่นมาก็ทำบนเตียงเลย (เหมาะสำหรับวันที่งานน้อยมากๆ) วันต่อมาอาจเปลี่ยนไปนั่งที่สวนหน้าบ้าน หรือห้องนั่งเล่นบ้างก็ได้ ที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายทดแทนที่นั่งทำงานนานๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นกล้ามเนื้ออาจฝ่อโดยไม่รู้ตัวได้

บริหารเวลาผิดชีวิตเปลี่ยน

นอกจากจะต้องอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ ตลอดเวลาแล้ว อีกหนึ่งสื่งที่ต้องปรับตัวและท้าทายความมีวินัยของเราอย่างมาก นั่นคือ “การบริหารเวลา” เมื่อสถานที่ทำงาน และสถานที่พักผ่อนคือที่เดียวกัน จะทำอย่างไรให้งานเสร็จโดยที่เราไม่วอกแวกไปทำอย่างอื่น

หรือบางครั้งก็ต้องเจอกับเจ้านายไม่เข้าใจ เพราะรู้ว่าคุณต้องอยู่กับงานตลอดเวลา กลายเป็นทักมาคุยเรื่องงานโดยไม่สนใจเวลา และนั่นอาจหมายถึงสี่ทุ่ม หรือแม้แต่วันอาทิตย์เช้าก็ตาม

ดังนั้นต้องตั้งเวลาในการทำงานอย่างเข้มงวด จัดการงานทุกอย่างให้เสร็จภายในเวลาทำงาน ไม่ทำอย่างอื่นแม้จะใช้เวลาเพียงไม่นาน หรือไม่ทำงานแบบสะเปะสะปะ เพราะนั่นจะทำให้เราเคยตัวกับการใช้ชีวิตแบบเบลอๆ รวมไปถึงการตกลงกับเจ้านายถึงช่วงเวลาการทำงานที่ชัดเจน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง

เมื่อต้อง Work From Home กันทั่วโลก วิธีการทำงานก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว 

Work from home ส่งผลให้เปลี่ยนวิธีการทำงานกันใหม่ในหลายองค์กรอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จากอดีตที่เราเน้นการทำงานแบบ Physical office ที่ทำงานมีพื้นที่ขนาดใหญ่ รวมพนักงานไว้ในตึกจำนวนมาก ๆ

แต่พอเจอโควิด-19 เข้าไป รูปแบบการทำงานจึงกลายเป็น Virtual office แทน เราเริ่มคุ้นเคยกับวิธีทำงานแบบที่ทุกคนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้ามานั่งแออัดกันในห้องประชุม แต่สามารถคุยกันผ่านแพลตฟอร์มประชุมทางไกล (Video Conference) วิธีการประชุมก็เปลี่ยนไป มี Agenda และบทสรุปชัดเจนขึ้น เพื่อให้ทุกคนนำไปทำงานต่อกันได้ครบถ้วน

ส่วนงานเอกสารที่ปกติบางที่ต้องพิมพ์งานออกมาส่งเป็นแผ่น ๆ ก็มีแพลตฟอร์มทำเอกสารออนไลน์เข้ามาช่วยให้ทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ มีการใช้แพลตฟอร์มช่วยในการแชร์ไฟล์งานร่วมกันอย่าง  One Drive, Google Drive, Dropbox หรือ icloud

ฝั่งบริหารเองก็มีแอพลิเคชั่นที่เข้ามาช่วยในการบริหารโครงการ วางแผนงานและติดตามงานลูกน้องให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ได้ผ่าน Asana, Trello, Basecamp หรือ Origami CRM ที่เป็นที่นิยม รวมถึงเริ่มมีระบบ ERP สำหรับใช้เข้าถึงข้อมูลฝั่งบัญชีและการเซ็นเอกสารให้ทุกอย่างเป็นไปได้ง่ายขึ้น

ซึ่งทั้งหมดต่างก็เข้ามาช่วยให้การทำงานต้องทุกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ใยบางองค์กรนี่อาจไม่ใช่เป็นเพียงกลยุทธ์รับมือโควิด-19 เท่านั้น แต่อาจเป็น New Normal หรืออีกหนึ่ง Future Trend Work Lifestyle ในอนาคตก็เป็นได้ การวัดผลการทำงานเองก็เปลี่ยนจากวัดเวลาเดินทางมาเข้างานที่ออฟฟิศ เป็นวัดจากประสิทธิภาพของผลงานมากขึ้น

เห็นได้จากบริษัททวิตเตอร์เอง ก็ไฟเขียวให้พนักงานยังคงทำงาน  work from home กันต่อไปได้อย่างไม่มีกำหนด แม้ว่าโควิด-19 จะหายไปแล้วก็ตาม และยังมีอีกหลายบริษัทในต่างประเทศที่มีแนวโน้มจะ work from home กันต่อเรื่อย ๆ เช่นกัน

ที่มา : brandinside, manager online

ปฏิวัติระบบการศึกษาสู่การเรียน – การสอบบนแพลตฟอร์มออนไลน์เต็มรูปแบบ 

แม้ว่าระบบการเรียนแบบ E-Learning จะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในทั่วโลก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเป็นจุดกระตุ้นให้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาต้องปรับรูปแบบ เมื่อโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต้องปิดในระหว่างภาคเรียน

แต่การเรียนการสอนยังต้องดำเนินไป หลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยจึงต้องปรับการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ในทันที การเรียนออนไลน์จึงกลายเป็นวิถีปกติที่หลายโรงเรียนเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว

แต่การต้องปรับรูปแบบมาเรียนออนไลน์ในทันที โดยไม่ได้มีเวลาวางแผนล่วงหน้าย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ อาจทำให้ได้เห็นความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาได้ชัดเจนขึ้น

บางสถาบันก็สามารถปรับตัวเริ่มเรียนออนไลน์ในได้ทันที รวมไปถึงมีการวางแผนจัดสอบออนไลน์ได้ด้วย ขณะที่บางสถาบันก็ไม่สามารถส่งเสริมการเรียนได้เต็มที่ ยังมีเด็กจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาเพราะไม่มีอินเตอร์เน็ต และอุปกรณ์สำหรับใช้เรียนออนไลน์

รัฐบาลไทยเองก็เริ่มมีการจัดช่องทีวีดิจิตอลเพื่อการศึกษา เพื่อลดความเสี่ยงของเด็ก ๆ ในการเดินทางที่อาจต้องพบเจอผู้คน หรืออยู่รวมกันเป็นหมู่มากถ้าต้องมาโรงเรียน และแก้ปัญหาสำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปรับรูปแบบการเรียน

ภาคการศึกษาจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ถูก Disrupt จากวิกฤติโควิด ฉะนั้นนี่คือโจทย์สำคัญสำหรับภาครัฐบาลและภาคธุรกิจ ที่จะต้องมีแผนปรับแนวคิดบริหารระบบการศึกษาใหม่ โดยต้องคำนึงถึงแนวทางการแก้ปัญหาเมื่อต้องเจอกับวิกฤตในคราวหน้า จะทำอย่างไรเพื่อให้ในเด็ก ๆ เข้าถึงการศึกษาได้เต็มที่

รวมไปถึงภาคธุรกิจที่ในอนาคตเราคงเห็นเทคโนโลยีที่ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เหมาะสมมากขึ้น สำหรับนักเรียนในทุกชั้นเรียน ตั้งแต่วัยอนุบาลไปจนถึงปริญญาตรี รูปแบบการเรียนการสอนก็มีความต้องการปฎิสัมพันธ์ระหว่างคุณครูกับนักเรียนที่แตกต่างกันไป

ที่มา : brandinside, thanachart

เมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป พนักงานคนเดิม จึงต้องเพิ่มสกิลให้ตัวเอง

เมื่อต้องทำงานที่บ้าน ลดการพบเจอกัน รูปแบบการทำงานก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน เช่นเดียวกับเหล่าคนทำงานที่ต้องปรับตัวเช่นกัน 

แม้จะอยู่บ้าน แต่งานต้องดำเนินต่อไป และต้องได้คุณภาพด้วย พนักงานจึงต้องมีทักษะในการทำงานและสื่อสารออนไลน์มากขึ้น พนักงานในหลายองค์กรอาจจะยังไม่ชิน ก็ทำงานแบบมีอะไรก็เดินไปคุยได้เลยมาตั้งนาน อยู่ๆ จะต้องมาทำงานผ่านสื่อกลางอย่างอินเทอร์เน็ต ทั้งพูดคุย ส่งไฟล์ ไปจนถึงประชุม 

การทำงานแบบออนไลน์ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เราแค่ไม่คุ้นชิน ซึ่งจริงๆ แล้วมีเทคโนโลยีที่เป็นตัวช่วยให้เราทำงานได้ง่าย แถมยังมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องออกไปไหนเลย เพียงแต่เราต้องฝึกฝน ไม่ใช่แค่ใช้ในช่วงนี้ แต่ถ้ามีทักษะเหล่านี้ติดตัวแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็ขัดขวางการทำงานของเราไม่ได้

  • ทักษะการใช้แอปพลิเคชันประชุมออนไลน์ มีให้เลือกมากมายเช่น Zoom, Google Hangout, Skype, Line เลือกใช้ได้ตามรูปแบบขององค์กรและการประชุม วิธีใช้งานก็ง่าย แทบไม่ต่างจากการโทรหาใครต่อใครในชีวิตประจำวันเลย
  • ทักษะการส่งงานออนไลน์ จากเดิมที่ยังใช้การส่งงานแบบเป็นเอกสาร ก็ต้องเปลี่ยนเป็นการส่งงานผ่านอินเทอร์เน็ต นอกจากอีเมล์แล้วยังมีตัวช่วยอื่นๆ มากมาย เช่น  Google Drive ที่ไม่ใช่แค่ส่งงาน อัปโหลดไฟล์ แต่ผู้ใช้ยังสามารถพิมพ์งานพร้อมกันได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องมาเจอกัน
  • ทักษะการ ไลฟ์-สตรีมมิ่ง หรือการถ่ายทอดสดแบบเรียลไทม์ ความเจ๋งคือแค่มีโทรศัพท์ก็ทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สร้างคอนเทนต์หรือรายการขึ้นมาได้ แบบไม่ต้องมีกองโปรดักชั่นใหญ่โตเลย ซึ่งออนไลน์แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ก็มีฟีเจอร์นี้กันแล้ว ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูป นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายทอดสดแบบเชิญคนอื่นมาร่วมด้วยได้ โดยใช้โปรแกรมเป็นตัวช่วย อย่าง OBS เพียงแค่ศึกษาวิธีใช้งานสั้นๆ ง่ายๆ ก็สามารถสร้างรายการได้ แม้จะอยู่กันคนละที่ก็ตาม
  • ทักษะการทำการตลาดออนไลน์ เพราะการซื้อขายไม่จำกัดสถานที่อีกต่อไป ยิ่งช่วงที่คนออกไปซื้อ-ขายของได้น้อยลง แต่การช้อปปิ้งมันอยู่ในสายเลือด ร้านค้าออนไลน์จึงได้รับความนิยมมากขึ้น สังเกตได้จากคอมมูนิตี้ออนไลน์ที่สมาชิกต่างออกมารับบทเป็นทั้งคนขายและคนซื้อกันเพียบ ตั้งแต่ของกิน ของใช้ ไปจนถึงที่อยู่อาศัยก็มี 

สรุปอาชีพสุดร่วงหลังโควิด 

ยังจำกันได้ไหมการปิดเมืองหรือการล็อกดาวน์ในวันนั้นส่งผลกระทบอะไรบ้าง สิ่งหลัก ๆ ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักเลยก็คือ อาชีพหลากหลายอาชีพต้องได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่ลดลง หรือแม้กระทั่งบางอาชีพต้องถูกไล่ออก ซึ่งอาชีพเหล่านี้ก็คือ

  • พนักงานในสถานบริการ : เนื่องจากได้รับผลกระทบผลกระทบจากการสั่งปิดสถานบริการ เช่น ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, สปา, ร้านนวด เป็นต้น ทำให้ทำงานสายอาชีพนี้ต้องได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง
  • พ่อค้าแม่ค้ารถเข็น : การประกาศเคอร์ฟิวทำให้การรายได้ที่ได้จากการค้าของลดลง
  • ช่างตัดผม : เพราะได้รับผลกระทบจากแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะตัดผม หรือการสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่น
  • เซลส์แมน : เนื่องจากรายได้ที่ลดลง และมีการสนับสนุนให้ทำงานในรูปแบบของ Work from home มากขึ้น ทำให้โอกาศในการพบกับลูกค้าลดน้อยลง
  • มัคคุเทศก์ : การท่องเที่ยวทั่วโลกหยุดชะงัก ผู้คนไม่กล้าเดินทาง ทำให้อาชีพนี้มีความเสี่ยงสูงในการตกงาน
  • คนขับรถแท๊กซี่ / วินมอเตอร์ไซค์ : คนออกจากบ้านน้อยลง มีการทำงานแบบ Work from home มากขึ้น และผู้คนเริ่มไม่อยากใช้การขนส่งร่วมกับผู้อื่น ทำให้คนขับรถแท๊กซี่หรือวินมอเตอร์ไซต์มีรายได้ลดลง
  • คนทำงานกองถ่าย : การประกาศเคอร์ฟิวและล็อกดาวน์ทำให้การถ่ายทำเป็นไปได้ยากขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนคนทำงานซึ่งอาจส่งผลกระทบตอนอาชีพของคนทำงานกองถ่ายในระยะยาว
  • นักร้องนักดนตรี : เนื่องจากสถานบันเทิงและอีเวนต์ปิด ทำให้ไม่สามารถหารายได้จากการแสดงหรือขึนโชว์ได้
  • พนักงานสายการบิน : เพราะการท่องเที่ยวทั่วโลกหยุดชะงัก สายการบินต้องลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจส่งผลให้พนักงานสายการบินถูกลดเงินเดือนหรือมีความเสี่ยงในการถูกไล่ออกจากงาน

สรุปอาชีพสุดรุ่งหลังโควิด 

แม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะทำให้หลาย ๆ อาชีพต้องได้รับผลกระทบ แต่ในวิกฤตก็มีโอกาสที่ทำให้หลาย ๆ อาชีพกลายเป็นอาชีพสุดรุ่งหลังโควิดซึ่งก็คือ

  • อาชีพด้านสุขอนามัย : เพราะการเกิดโรคระบาดทำให้ผู้คนมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น ธุรด้านการผลิตหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ หรืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขอนามัยจึงมีความต้องการมากขึ้น
  • อาชีพด้าน Online Delivery : การที่ต้องทำงานอยู่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้อาชีพด้านการขนส่งอาหารแบบ Online Delivery แบบที่ต้องการมากขึ้นและรายได้เองก็เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย
  • อาชีพด้านประกันชีวิต : หลังจากมีการระบาดของเชื้อไวรัส อาชีพด้านการขายประกันชีวิตก็รุ่งขึ้น เพราะผู้คนสนใจในการซื้อประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยง และในอนาคตเองอาชีพด้านประกันชีวิตน่าสนใจมากยิ่งคน เพราะผู้คนเริ่มตระหนักถึงสุขภาพของตัวเองมากกว่าเก่า
  • อาชีพด้าน Streaming : การที่ต้องอยู่บ้านเป็นเวลานาน ทำให้อาชีพด้านการ Streaming เป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เพราะการทำ Video Streaming ถือว่าเป็นการให้ความบันเทิงแก่ผู้คนไม่กี่อย่างที่คนสามารถทำได้ในช่วงกักตัว
  • อาชีพด้านสุขภาพ : หลังจากที่การแพร่กระจายของเชื้อไวรัส-19 ทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจปัญหาด้านสุขภาพกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วอาชีพด้านสุขภาพจะแรงหลังจากการระบาดลดลง ไม่ว่าจะเป็น หมอ พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ เป็นต้น
  • อาชีพเกี่ยวกับการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค : อาชีพด้านการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคถือเป็นอาชีพที่มั่นคงในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เพราะผู้คนต้องการบริโภคสินค้า หรือกักตุนสินค้าในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน เพราะฉะนั้นแล้วอาชีพการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคจึงถือได้ว่าเป็นอาชีพที่สำคัญเช่นเดียวกัน
  • อาชีพขายของออนไลน์ : เนื่องจากการกักตัว ทำให้ผู้คนไม่สามารถไปซื้อสินค้าได้ตามปกติ การซื้อของออนไลน์จึงได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้อาชีพด้านการขายของออนไลน์มีรายได้มากขึ้นนั่นเอง
Writer Profile : MangoZero Team
Blog : MangoZero Social Media : Facebook, Twitter
View all post

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save