category สัมภาษณ์ : 'บอล - เมื่อย' Scrubb เปิดชีวิตตลอด 18 ปีบนเส้นทางสายดนตรีในมุมที่อยากให้ฟัง

Writer : Sam Ponsan

: 23 เมษายน 2561

interview-scrubb-brand-cover-new

“Scrubb หายจากการทำเพลงไปกี่ปีแล้วเนี้ย” เราชวน ‘บอล – ต่อพงศ์ จันทบุบผา’ และ ‘เมื่อย – ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ’ คุยแบบทีเล่นๆ หลังจากที่ Mango Zero ชวนดูโอแห่งวง Scrubb มาคุยด้วย เพราะได้ยินว่าเขากำลังจะมีเพลงใหม่ บอลยิ้มรับกับคำถามก่อนจะตอบสั้นๆ ง่ายว่า “น่าจะเกือบ 4 ปีแล้วนะ..” 

อันที่จริงแล้วตัวเลข 4 ปีก็ถือว่าไม่ได้มากหรือน้อย และทั้งคู่ก็ไม่ได้หายหน้าไปไหนเสียทีเดียว ถ้าคนที่ติดตามวงการเพลงอยู่ตลอดจะยังเห็นทั้งเมื่อยและบอล เล่นคอนเสิร์ตอยู่ ควบคู่กับงานอื่น อย่างบอล ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปินของค่ายเพลง What The Duck ส่วนเมื่อย ก็กำลังมีความสุขกับการทำงานด้านการจัดอีเวนต์ในชื่อ dood

ใช่…ทั้งคู่ก็ไม่ได้หายไปไหนจริงๆ และยังคงเติบโตอยู่เสมอ ถ้าย้อนเวลากลับไปวันที่ประเทศนี้มีวงดนตรีชื่อ Scrubb เกิดขึ้นก็เมื่อ 18 ปีที่แล้ว วันนั้นทั้งบอลและเมื่อยยังเป็นวัยรุ่นที่ใช้ดนตรีเป็นบันไดไต่ไปหาความฝันจนมาถึงวันที่ดนตรีพาพวกเขาเดินทางมาไกลจากจุดเริ่มต้นมาก Scrubb ในยุคนี้เติบโตขึ้นในโลกยุคใหม่ หลายอย่างเปลี่ยนไปหมดทั้งวงการเพลง คนฟังเพลง และคนทำเพลงแบบพวกเขา

การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างรอบตัวทำให้พวเขาได้เห็นอะไร และเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง ถ้าการเกริ่นนำนี้เป็นเพลงหนึ่ง Intro กำลังจะจบลงแล้ว ต่อไปนี้คือเนื้อร้องที่มีบอล เล่นกีตาร์ประกอบ แล้วเมื่อยก็เตรียมจะเล่าเรื่องของพวกเขาให้เราได้ฟัง

interview-scrubb-brand-web-6

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Scrubb ฝ่าฟันมาอย่างไร เล่าให้ฟังหน่อยว่ายุคนั้นคุณลุยมาหนักแค่ไหน 

บอล : ตอนนั้นน่ะมันก็จะเป็นลูกห่ามชนิดนึงเด็กวัยรุ่นยุคนั้นเลยนะที่อยากจะทำเพลงก็ทำ อย่างเราก็ด้วย ตอนนั้นเลยหาเวลาว่างจากการทำงาน ผมก็ไปเจอที่บ้านเมื่อย ทำเพลงกันในห้องนอนก็เอาสนุกเข้าว่า ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนโลก

หรือจะเปลี่ยนวงการเลย มันก็เป็นแค่ความเชื่อของเด็กเล็กๆ 2 คนที่รู้สึกว่าของที่เราทำเนี่ยมันน่าจะมีคนชอบบ้างสิ เราทำไปเรื่อยๆ ซึ่ง 2  -3 ปีแรกไม่ต้องพูดถึงเรื่องรายได้เลย

เมื่อย : รายจ่ายล้วนๆ (หัวเราะ) 

ใช้อะไรยึดเหนี่ยมจิตใจอดทนทำงานที่ไม่เห็นผลตอบแทนตั้งสามปี

บอล : มันป็นเรื่องของความเชื่อและความสนุก เราก็คิดไว้อยู่แล้วว่าทำเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ต้องมีคนฟังอะไรแบบนี้บ้าง ซึ่งการทำต่อไปเรื่อยๆ นี่แหละมันก็ค่อยๆ เริ่มนำพาเราไปตามจุดต่างๆ ได้ไปงานที่เริ่มมีคนเห็นมากขึ้น ได้ไปเจอคนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเพลงมากขึ้น

สุดท้ายเราก็ไปอยู่ในที่ที่ถูกที่ควรคือได้ไปอยู่ในค่าย ผมเลยคิดคล้ายๆ กันคือ ไม่ได้คิดไม่ได้แพลนว่าทุกวันต้องเป็นอย่างนี้นะ แต่โดยสัญชาตญาณ โดยไลฟ์สไตล์ โดยชีวิตประจำวันของเรากับประสบการณ์ที่เราเคยเจอมานำพาเราไป 

เมื่อย : เราไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าทำแล้วจะออกเทป ถึงจะไม่ได้ทำเพลงพวกเราก็เล่นดนตรีอยู่แล้ว ผมก็ชอบเล่นดนตรี แล้วก็พี่บอลก็จะมีงานเก็บไว้ผมก็มีงานเก็บไว้ ผมไม่ได้ตั้งเป้าว่าเดี๋ยวเราจะทำงานดีๆ แล้วไปดีลกับค่าย

ผมทำสิ่งนี้เพื่อให้ได้สิ่งนี้ แค่อยากมีเพลงของตัวเองแล้วก็อยากจะรับฟังคำคอมเม้นที่มันยุติธรรม ไม่ได้หมายถึงทั้งบวกและลบนะ แต่เป็นคอมเม้นที่ไม่ต้องมีอคติเลย ซื้อปุ๊บฟังปุ๊บเหี้ยว่ะ (หัวเราะ) พูดได้เลยเพราะว่าเขาซื้อไม่ได้แจกฟรี

แต่ระหว่างทางก็พยายามเอางานไปเสนอนะ แต่เราไม่ได้ตีโพยตีพายว่าทำไมไม่เข้าใจ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าเพลงแบบเราเป็นอย่างไร แค่หวังถ้ามันมีคนเข้าใจก็ดีซึ่งมันไม่มี (หัวเราะ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือถ้าไม่มีคนเข้าใจผมก็ไม่หยุดก็ทำงานเก็บไว้ ก็เคยคุยกันว่าเฮ้ย! ถ้ามันไม่มีเราก็ทำขายเอง

interview-scrubb-brand-web-1

ภาพที่มองเมื่อ 18 ปีก่อนไม่ได้มีเป้าหมายที่ความสำเร็จเหรอ

บอล :  เรารู้สึกว่าจริงๆ ในตำแหน่งที่เราอยู่ ไม่ได้คิดว่าวัตถุประสงค์มันคือการประสบความสำเร็จ หรือการเป็นที่ยอมรับในฐานะนักดนตรี ตอนนั้นไม่ได้มีเป้าหมายแบบนี้อยู่ เวลานั้นเราทำด้วยความสนุก มีคนมาซื้อเราก็เฮแล้ว

เราไม่ได้คิดว่าเมื่อไหร่จะมีค่าย เมื่อไหร่จะมีงานจ้างเมื่อไหร่จะรวยวะ เราไม่ได้มีเรื่องนี้อยู่ในหัว ถ้าตั้งเป้าตั้งแต่แรกอาจจะเครียดกว่ากันเยอะ

ตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องอยากมีคนฟังเยอะๆ เหรอ

เมื่อย : อยากอยู่แล้ว ไม่งั้นผมก็เก็บไปฟังเองแล้ว (หัวเราะ) อยากให้ทุกคนฟังแหละ เพียงแต่มันไม่ได้หวังว่าคนฟังเยอะ เราจะได้ตังค์เป็นล้านเป็นสิบล้าน ไม่ได้คิดอย่างนั้น

แค่อยากให้มีคนฟัง ดังนั้นเราจึงไม่ได้รอค่ายแต่เดินไปปั๊มเทปแล้วก็ไปฝากขายได้เลย เราไม่รอให้พร้อมแล้วค่อยทำ แต่เราทำเลยเพราะอยากให้มีคนได้ยินเรา 

อยู่วงการเพลงไทยมาเกือบ 20 ปี ความคิด ความเชื่อ มุมมองต่อหลายๆ สิ่งมันเปลี่ยนไปแค่ไหน

เมื่อย ทุกอย่างเปลี่ยนหมด วันนี้ผมไม่เชื่ออะไรเหมือนตอนที่อายุ 25 แล้ว

interview-scrubb-brand-web-3

มีอะไรที่เลิกเชื่อไปแล้ว

เมื่อย : ถ้าถามส่วนตัวผมไม่เชื่ออะไรแล้วตอนนี้ ผมคิดว่าความเชื่อเหมือนเป็นแรงบันดาลใจในช่วงเวลานึง พอวันนึงเราอาจจะไปรู้ความจริงอาจจะผิดหวังหรือรู้สึกดี ผมเป็นคนไม่ค่อยยึดติดกับความเชื่อมาก เพราะว่าบางทีมันเข้ามาทำให้เราเชื่อในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่บางทีเป็นความเชื่อที่มันผิดก็มี

สุดท้ายไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย เปลี่ยนตลอดเวลา แต่ชอบเล่นดนตรีเหมือนเดิม แต่ถ้าถามว่าจะเล่นอีกกี่ปีก็ไม่รู้ ก็คงทำจนถึงที่คิดงานไม่ออก ไม่ใช่คิดไม่ออก แต่รู้สึกว่ามันเริ่มแย่เริ่มทำแต่เพลงห่วยๆ ครึ่งๆ ก็คงไม่ทำต่อ

บอล : ความสนใจเรามันเปลี่ยนแน่นอนอยู่แล้ว เราก็มีหลายอย่างที่เปลี่ยน หลายอย่างที่ทุกวันนี้เราไม่ทำแล้ว ไม่พูดแบบนั้นแล้ว ไม่แต่งตัวแบบนั้นแล้ว เราไม่คิดแบบนั้นแล้ว

ถ้าจะเหลืออะไรก็เหลือเรื่องเดียว ยังชอบเล่นดนตรีอยู่ ยังชอบฟังเพลง ยังตื่นเต้นกับเวลาได้ยินอะไรใหม่ๆ  มันก็ยังเป็นเรื่องเดียวที่เราทำอยู่และถือว่าเราทำมาจนถึงทุกวันนี้

ยุคนี้การทำเพลงยากแค่ไหนสำหรับคนที่มีประสบการณ์แบบพวกคุณ

บอล : เอาง่ายก่อน ง่ายก็คือว่าเราค่อนข้างรู้แล้วว่าอะไรที่ถนัด แล้วเราก็ค่อนข้างรู้ว่าอะไรที่เรารู้สึกว่าสำหรับเรา 2 คนอันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถนัดหรือไม่ได้อยากเป็น เราทำงานไปเรื่อยๆ ขัดๆ ถูๆ ไปเรื่อย รูปร่างในความเป็นเรามันจะชัดขึ้นเองโดยกาลและเวลา

ส่วนความยากมันก็คือว่าการที่ทำงานมาเยอะมากๆ แล้วเนี่ยมันก็มีโอกาสไปซ้ำของเดิมแน่นอน การที่เพื่อนเข้ามาช่วยก็เป็นวิธีแก้ปัญหาอีกอย่างนึงว่า หลายๆ หัวช่วยกันคิดมันก็ช่วยสร้างดีไซน์หรือสร้างสีสันบางอย่างที่มันทำให้ของบางอย่างมันไม่เหมือนเดิมจนเกินไปนัก และไม่เสียตัวตนของ Scrubb 

งานใหม่ของคุณได้หลายคนมาช่วย แล้วทำอย่างไรให้ Scrubb ยังเป็น Scrubb 

บอล : สุดท้ายพอมันนำเสนอโดยเรามันก็จะยังเป็นเราอยู่ดี ชุดนี้มีหลายครั้งที่เราคิดกัน พี่ฟั่น (โกมล บุญเพียรผล) ที่เป็นโปรดิวเซอร์เรา ลองไปคิดอะไรที่มันเป็นแบบอย่างอื่นไปก่อนแล้วค่อยกลับมาที่เรา เพราะเราคิดอะไรจากเราก่อนเดี๋ยวมันก็เป็นเร๊าเป็นเราเหมือนเดิม

ซึ่งการที่ให้คนอื่นช่วยทำเพลงก็มีความสงสัยว่าจะเป็นเราได้ยังไง บางเดโมที่ทำมาลองให้คนรอบข้างฟังเขาคอมเมนต์มาว่า “เอ้ย! นี่มัน scrubb หรอวะ มันโคตรจะไม่ใช่” พอถึงวันที่บอลมันอัดเสียงร้อง ก็ถามอีกทีว่า “อ่ะเป็น scrubb หรือยัง” ทุกคนก็บอก “เป็นแล้ว” (หัวเราะ)  แต่สุดท้ายมันจะมีตราประทับบางอย่างที่รู้สึกว่าอันนี้มันคือเราอยู่ดี

interview-scrubb-brand-web-4

การชวนวิน มาช่วยร่วมงานนั่นก็เป็นหนึ่งในวิธีที่สร้างงานไม่ให้ซ้ำเดิม

บอล : จริงๆ ตอนที่ผมดูแลอัลบั้มนี้อยู่ เราคิดแค่อยากหาอะไรมาเป็นสีสัน ให้อัลบั้มนี้ดูสร้างความพิเศษ คิดไว้แค่อยากได้ใครมาร่วมงานกันสักคน แต่ไม่ได้ระบุหรือไม่ได้อยากได้ใครเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่ได้บอกค่ายด้วย ไม่ได้บอกทีมงานหรือโปรดิวซ์ด้วยว่า รู้แค่ว่าอยากได้ใครแต่คิดไว้ แล้วก็เจอกันโดยบังเอิญมาก

เมื่อย : ‘ดวงตะวัน’ เป็นเพลงที่เรารู้สึกสนุกกับเพลงนี้ แล้วการได้เจอเพื่อนเก่า การได้เจอคนที่โตมาด้วยกัน แต่ไม่เคยทำงานด้วยกันและได้มาทำ ผมมองว่ามันเป็นการ refresh การทำงานชุดนี้ให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกขั้นนึงนะ วิน (วิน ศิริวงศ์) มาในช่วงโค้งท้ายๆ ของการทำอัลบั้มแล้ว เราก็รู้สึกว่า เออ..การที่วินมา ก็ทำให้อัลบั้มนี้มีความหมายขึ้นนะ

การได้วินมามันไม่ใช่แค่การได้ใครสักคนมา featuring เท่านั้นแต่เป็นการได้เจอเพื่อนเจอพี่เจอน้องที่เคยได้ลุยมาในช่วงเวลานึง อยู่มาวันหนึ่งก็มีเขาเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มเราด้วย ผมก็ถือว่าเป็นการทำอัลบั้มนี้เป็นไดอารี่ที่ดีที่พิเศษขึ้นมาอีกหน่อย

ยังใช้ความรู้สึกเดิมสมัยตอนเป็นเด็กทำงานเพลงอยู่หรือเปล่า

เมื่อย : ถ้าพูดก็เหมือนหลอกตัวเอง มันก็แกล้งคิดได้ คือเราต้องยอมรับว่าเคยมีเพลงฮิตมาแล้ว แล้วการที่เราแกล้งบอกตัวเองว่าเราไม่เคยมีเพลงฮิตเราจะแต่งเพลงโดยที่เราไม่ยึดติดความรู้สึกบางอย่างที่เราเคยทำ มันคือการหลอกตัวเอง สมมติว่าเราออกอัลบั้มครั้งแรก สมมติว่าเราทำเพลงสุดท้าย ผมคิดแบบนี้ได้เพื่อให้ได้งานนะ

แต่ผมเชื่อว่างานเพลงเป็นเรื่องของอารมณ์ สิ่งที่คนรู้สึกได้มันน่าจะเป็นความจริงใจ แล้วก็ผมรู้สึกว่าหลายๆ เพลงที่แค่ส่วนตัววงที่ได้รับความนิยมก็พยายามจะศึกษา ส่วนมากมันจะเป็นตัวเพลงที่แต่งช่วงเวลาหรือโมเม้นที่เราไม่ได้ตั้งใจทำมันให้เป็นเพลงอะไร 

ทุกวันนี้เบื่อไหมเวลาถูกขอเพลงที่เราไม่ได้อินแล้วแต่ยังต้องร้อง

บอล : เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้วคือเราบอกว่าไม่เล่นเพลงทุกอย่าง ไม่เล่นเพลงใกล้ แต่สุดท้ายถ้าเราไม่เล่นแล้วใครจะเล่น ถ้าเขาไม่ฟังเราเล่นเขาก็ต้องไปรอวงอื่นเล่นแทนเรา เพลงของเราคนที่เล่าเรื่องจะนำเสนอได้ดีที่สุดก็ต้องเป็นเราหรือเปล่า มันเป็นหน้าที่นึง มีความสุขกับมันครับอยู่กับมันให้ได้

เมื่อย: พยายามทำจิตใจให้สดชื่น แล้วก็พยายามจะนึกถึงโมเม้นที่ผมแต่งเพลงในยุคนั้นเพราะมันมีเพลงหลายยุค ก็พยายามจะนึกถึงเราในตอนนั้น แล้วร้องมันออกมา

interview-scrubb-brand-web-5

ทำใจให้สดชื่นนี่ทำยังไง

เมื่อย : ก็คิดถ้าทำไม่ได้มันไม่ได้เงิน (หัวเราะ) เขาจ้างเราก็ต้องเล่น ถ้ามึงไปเล่นฟรีน่ะมึงบ่นได้ เขาให้เงินมึงเขาซื้อเทปมึงจะบ่นอะไร ถ้าเป็นตัวของตัวเองก็ทำเพลงเอง ฟังเองที่บ้านไป (หัวเราะ) 

บอล : แต่อย่าเข้าใจผิดนะแบบก็มึงหน้าเงินก็ไม่ใช่นะเว้ย (หัวเราะ) มันคือธุรกิจแล้วเราเอาเพลงไปแลกกับเขา เขาให้เงินเท่าไหร่เราก็เล่นคุ้มเท่านั้น เราไม่มีสิทธิ์ตีโพยตีพาย

ทุกวันนี้คุณขึ้นเวทีด้วยความรู้สึกอะไร

บอล: เรามีหน้าที่รวมช่วงชีวิตเราทั้งหมดไปอยู่ในโชว์ๆ นึง พยายามทำให้หลายๆ เพลงในทุกยุคในทุกสมัยมันอยู่ด้วยกัน เวลาดูโชว์ Scrubb ก็จะได้เห็นเพลงทุกชุด ได้เห็นเราทุกช่วงเวลา มันช่วยสร้างบรรยากาศได้นะ เพราะว่าถ้าเราไม่ได้ทำเพลงใหม่ นั่นหมายความว่าเราก็ต้องเล่นแต่เพลงเก่า แล้วเราก็มาบ่นกันเองว่าเบื่อเพลงเก่าคงไม่ใช่แล้ว มันอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังอยากทำเพลงใหม่อยู่เสมอถ้าเรายังเล่นดนตรีอยู่

เราต้องการให้เพลงแต่ละยุคแต่ละสมัยของเราเข้ามาเป็นโซ่เกี่ยวกัน เวลาคนมาดูโชวก็จะได้เห็นเพลงเราจากทั้ง 18 ปีที่เราโตมาเนี่ยแหล่ะ ส่วนคุณชอบในเพลง 10 – 12 เพลงใน 1 โชว์นี้แล้วคุณอยากจะไปรื้อฟังต่อว่าเพลงนี้มันอยู่ในยุคไหนมันเกี่ยวอะไรที่มันอยู่ในอัลบั้มนั้น มันก็เป็นเรื่องของแต่ละคน

เมื่อย : ทุกวันนี้เรายังเล่นฟรีอยู่นะ แต่บางที่ต้องรับผิดชอบน้องๆ ที่มาเล่นกับเรา และแน่นอนงานไหนที่เราเล่นฟรีเราก็สามารถที่จะหยิบเพลงอะไรตามใจเราได้มากขึ้น อย่างเช่นผมไปเล่นงานเบียร์มีคนมาตะโกนขอ Art Bar มึงจะบ้าหรอใครจะไปเล่นที่นี่ (หัวเราะ) มึงต้องไปดูที่งาน Cat Festival สิ เขาก็ต้องรู้คาแรคเตอร์ด้วย

interview-scrubb-brand-web-2

คิดถึงวันที่จะเลิกทำเพลงหรือยังตอนนี้

บอล :  เคยคิด retire ตัวเองเหมือนกัน

เมื่อย : แต่ลืมไปว่าถ้าทุกคนไม่ฟังเดี๋ยวก็ retire เอง (หัวเราะ)

บอล : แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดแล้วนะ (หัวเราะ) ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมชอบลองคิดแบบท้าทายแรงโน้มถ่วงดู ลองดูว่าวัยเท่านี้มันจะเล่นได้กี่น้ำวะ ทำเพลงยังอยากจะมีคนฟัง ยังอยากจะมีคนมาดูเราเล่นดนตรีอยู่ไหม

ลองปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติสิ  ไม่ต้องไปกำหนดว่าเราจะ retire เมื่อไหร่ ก็ทำจนมัน retire โดยธรรมชาตินี่แหล่ะ ผมว่าแม่งเกินกว่าอายุที่ผมคิดว่าผมจะต้องเลิกมานานมากแล้ว

Writer Profile : Sam Ponsan
นักเขียนหนุ่มสุดเท่ที่ชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ ขนาดฝนตกยังยอมขี่รถตากฝนเลยเพราะคิดว่าทำแล้วเท่ งานอดิเรกของเขาคือการไปออกกำลังกายเพราะเชื่อว่าทำแล้วเท่ ปัจจุบันก็ยังชอบทำ Content อะไรเท่ๆ ลงเว็บ Mango Zero ด้วย แหม่...เท่จริงๆ
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save