สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานจากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอนว่า นายกรัฐมนตรีฮัสซัน ดิอับ ได้แถลงลาออกจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาลเลบานอนผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ เมื่อคืนวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น หลังจัดตั้งรัฐบาลได้เพียง 7 เดือนเท่านั้น เพื่อแสดงความรับผิดชอบจากเหตุระเบิดครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเลบานอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 คน และได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 6,000 คน อีกทั้งยังมีผู้สูญหายอีกประมาณ 20 คน โดยได้กล่าวว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นว่าเป็นหายนะที่ไม่สามารถประเมินได้ และการลาออกของรัฐบาลเป็นไปตามความต้องการของประชาชนต่อข้อเรียกร้องให้รับผิดชอบหายนะที่ถูกซุกซ่อนไว้ที่ท่าเรือมานานถึง 7 ปี รวมถึงความต้องการที่ให้เกิดการเปลี่ยนอย่างแท้จริง ในเรื่องปัญหาการคอร์รัปชั่นและการแย่งชิงอำนาจระหว่างขั้วการเมืองในเลบานอน ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความแตกต่างทั้งในด้านเชื้อชาติและศาสนา “รุนแรงเกินบรรยาย” จึงทำให้กระบวนการปฏิรูปประเทศ “เป็นอัมพาต” Lebanese Prime Minister Hassan Diab announced his government’s resignation in a televised address, following outrage over the devastating Beirut blast https://t.co/P1mhqD7J16 pic.twitter.com/fCx2yPuEso — Reuters (@Reuters) August 10, 2020 ล่าสุดมีรายงานว่าประธานาธิบดีมิเชล โอน ผู้นำเลบานอนได้รับหนังสือลาออกของรัฐบาลแล้วและขอให้รัฐบาลของนายดิอับ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาโดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในอิหร่านทำหน้าที่รัฐบาลรักษาการจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม ชาวเลบานอนจำนวนมากในกรุงเบรุตยังคงเดินขบวนประท้วง และปะทะอย่างดุเดือดกับตำรวจปราบจลาจล แม้ดิอับประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว ซึ่งหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า เหตุระเบิดที่ท่าเรือในกรุงเบรุตครั้งนี้ เป็นชนวนสำคัญที่สะกิดรอยแผลที่สร้างความเจ็บปวดให้กับชาวเลบานอน จากเหตุความรุนแรงในสงครามกลางเมืองที่ยาวนานช่วงปี 2518 – 2533 ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจล่มสลายและต้องฟื้นฟูบ้านเมืองเป็นเวลานาน และเหตุระเบิดครั้งนี้กำลังทำให้เลบานอนต้องกลับไปเผชิญกับช่วงเวลาแบบนั้นอีกครั้ง ขณะที่ผู้ประท้วงหลายคนให้ความเห็นถึงการลาออกของดิอับว่า “ไม่ช่วยอะไร” เพราะสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือ “ระบบ” ไม่ใช่ตัวบุคคล ที่มา : REUTERS, bbc, ThaiPBS, เดลินิวส์
