ระยะหลัง ข่าวเรื่องการใช้ปัสสาวะเพื่อการรักษาโรคหรือเพื่อสุขภาพ มีให้เห็นมากจนเกิดคำถามในโซเชียลว่า ตกลงน้ำปัสสาวะมีประโยชน์ในการรักษาโรคจริงเหรอ เช่นข่าวคนใช้ปัสสาวะล้างตาและจมูก อ้างว่าช่วยให้มองชัดขึ้น แถมยังแก้ไซนัสได้ด้วย, ร้านก๋วยเตี๋ยวแอบเติมปัสสาวะลงในหม้อซุป เพราะคิดว่าจะช่วยให้คนกินหายปวดเมื่อยได้, มีความเชื่อว่า ดื่มน้ำปัสสาวะแล้วจะช่วยรักษาโรคมะเร็งได้, ครูประถมที่อ้างว่าทำน้ำปัสสาวะกลั่นสมุนไพร เพื่อให้นักเรียนดื่มแก้อาการปวดท้องจากการดื่มน้ำอัดลม ขนมหวาน และไม่ทานอาหารเช้า หรือชาวสันติอโศกที่ดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อบำบัดรักษาโรค ทั้งหมด ไม่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ (ไม่ว่าจะแผนใดก็ตาม) และเป็นความเชื่อที่ผิดทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่แพทย์แนะนำคือ ไม่ควรดื่มน้ำปัสสาวะ ไม่ว่าจะเพื่อรักษาโรคหรือเพื่อทดลอง เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์ในการรักษาโรค ยังก่อให้เกิดโทษกับร่างกายอีก โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ ปัสสาวะ ประกอบด้วย น้ำ 95%, ยูเรีย 9.3 g/L, คลอไรด์ 1.87 g/L, โซเดียม 1.17 g/L, โปตัสเซียม 0.750 g/L, ครีอะตินีน 0.670 g/L และสารละลายอื่นๆ กล่าวคือ นี่แหละ..แหล่งสะสมเชื้อโรคและของเสียในร่างกาย ฉะนั้น ดื่มปัสสาวะ = ดื่มของเสียจากร่างกายเข้าไป โทษจากการดื่มน้ำปัสสาวะ มีตั้งแต่โทษที่ไม่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เวียนหัว ท้องเสีย ไปจนถึงโทษที่รุนแรง เช่น อาจทำให้ร่างกายติดเชื้อจากการดื่มปัสสาวะที่มีเชื้อโรคปะปนจำนวนมาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก็ออกคำเตือนว่า การดื่มน้ำปัสสาวะจะทำให้ร่างกายรับสารพิษกลับเข้าไป ซึ่งผลร้ายแรงที่สุดคืออาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้เลย หรือคนดังด้านการแพทย์อย่าง หมอแล็บแพนด้า (ภาคภูมิ เดชหัสดิน) ก็โพสต์เตือนคนใช้น้ำปัสสาวะเพื่อสุขภาพว่า ถ้าหากปัสสาวะมีสรรพคุณทางยาจริง นักวิจัยคงเอาไปผลิตเป็นยาเม็ดออกมารักษาโรคแล้ว ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อย. / โรงพยาบาลตำรวจ / healthline.com
