ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Netflix ผู้ให้บริการหนัง ซีรีย์ และ ความบันเทิง ออนไลน์ ในรูปแบบวิดิโอสตรีมมิ่งขนาดใหญ่ที่สุดในขณะนี้ หนัง และ ซีรีส์มากมาย แปลและบรรยายมากมายหลายภาษา เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการกว่า 130 ล้านคน จาก 190 ประเทศทั่วโลก จุดเริ่มต้นของ Netflix เกิดจากอะไร ? อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้พวกเขาก้าวมาสู่บริษัทที่ให้บริการความบันเทิงวิดิโอสตรีมมิ่งแถวหน้าของโลกได้ Netflix คืออะไร Netfilx จากร้านเช่า DVD สู่ผู้นำ Entertainment Service ที่มีรายได้รวมทั้งหมด 3,907 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 40.3 % จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิกว่า 384 ล้านดอลลาร์ ให้บริการสมาชิก 130 ล้านคน จาก 190 ประเทศทั่วโลก นับว่าเป็นผู้ให้บริการความบันเทิงวิดิโอสตรีมมิ่ง (Streaming Video) รายใหญ่รายหนึ่งของโลก Netflix ให้บริการความบันเทิง ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ สารคดี ต่างๆ ครอบคลุมหลากหลายภาษา ผู้ใช้บริการสามารถชมผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Smartphone , Smart TV , Apple TV , Computer , Ipad หรือจะ Game Console ก็สามารถรับชมได้ จุดเริ่มต้นของ Netfilx Netflix เริ่มต้นในปี 1997 โดยนาย รีด แฮสติงส์ (Reed Hastings) และ นาย มาร์ค แรนดอล์ฟ (Marc Randolph) ก่อตั้งเพื่อดำเนินธุรกิจเช่าวิดิโอภาพยนต์ แก่ลูกค้าในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดยจัดทำระบบการส่งไปรษณีย์สำหรับให้เช่ายืมไม่เกิน 7 วัน แนวคิดเรื่องการเช่าวิดิโอออนไลน์ ในตอนแรกยังไม่ได้ใช้กับ ได้ไอเดียมาจากการที่แฮสติงส์ ไปเช่าวิดิโอ แต่ส่งวิดิโอคืนล่าช้า จึงทำให้โดนปรับเงินจำนวน 40 ดอลลาร์สหรัฐ จากร้านบล็อกบัสเตอร์ (Blockbuster) ซึ่งเป็นร้านเช่าวิดิโอที่มีชื่อเสียงในอเมริกา ปัจจุบันปิดไปแล้ว ซึ่งทำให้เขาได้คิดว่า ถ้าเค้าดำเนินธุรกิจเช่นนี้ คงไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าเท่าไหร่ และ คงเป็นผลร้ายต่อธุรกิจของเค้าอย่างแน่นอน พวกเขาจึงเริ่มต้นกับนโยบายใหม่ คือ ให้บริการให้ลูกค้าเช่าวิดิโอในราคา 7.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 260 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนหนัง จำนวนครั้งที่ยืม และ ที่สำคัญ “ไม่จำกัดเวลาคืน” โดยลูกค้าต้องสมัครสมาชิกและชำระค่าบริการเป็นรายเดือน ซึ่งนโยบายนี้ทำให้ Netflix สามารถล้มคู่แข่งที่สำคัญนั้นคือ Blockbuster ได้ ซึ่งในปี 2002 เคยเสนอซื้อบริษัท Netflix ในราคา 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ Netflix ได้ปฏิเสธไป 29 พฤษาคม ปี 2002 Reed Hastings ได้นำ Netflix เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น Nasdaq โดยมีราคาหุ้นปิดอยู่ที่ $15.00 และในปี 2007 Netflix ให้บริการความบันเทิง ในรูปแบบ DVD แก่ลูกค้ามากกว่า 1,000 ล้านแผ่นทั่วสหรัฐอเมริกา Netflix กับ ผู้นำด้าน Streaming Video ระดับโลก จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Netflix ในการก้าวสู่ยุค วิดิโอสตรีมมิ่ง คือ เมื่อกระแส DVD เริ่มเข้าสู่ยุคที่ความเร็วของ Internet เข้ามา ทุกคนเสพความบันเทิงในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น Netflix จึงได้ให้บริการในระบบวิดิโอสตรีมมิ่งผ่านอินเตอร์เน็ต เต็มรูปแบบในปี 2007 พวกเขาร่วมมือกับผู้พัฒนาฮาร์ดแวร์เพื่อนำบริการความบันเทิงของตัวเองสู่ช่องทางการให้บริการที่หลากหลาย และ สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ และ รสนิยมของคนในยุคนั้น เริ่มต้นด้วยการพัฒนาร่วมกับ เครื่องเล่น Blu-Ray , เครื่องเล่นเกมไมโครซอฟต์ Xbox 360 , สัญญาณดาวเทียมโทรทัศน์ ในปี 2008 และ เครื่องเล่นเกม Sony PS3 , ผู้ผลิตสัญญาณอินเตอร์เน็ต ในปี 2009 และในปี 2010 การก้าวสู่วงการ Smart Phone และ อุปกรณ์ในเครือ Apple รวมถึงเครื่องเล่นเกม Wii ซึ่งการที่ Netflix ร่วมมือกับค่ายพัฒนาฮาร์ดแวร์ที่มีชื่อเสียงต่างๆ ทำให้เป็นผลที่ดีที่ทำให้พวกเขาได้เป็นที่รู้จักในตลาดโลกได้อย่างรวดเร็ว กับความสำเร็จในปัจจุบัน มีผู้ใช้ทั้งหมด 130 ล้านคน จาก 190 ประเทศทั่วโลก ตัวเลขกำไรการเติบโต + 38.7 % ในปีนี้ ซึ่งทำให้เห็นว่า Netflix ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ใช้บริการด้านความบันเทิงในปัจจุบันได้อย่างดี ความโดดเด่นของ Netflix ความต่างของ Netflix คือ การเลือกภาพยนตร์ ซีรีย์ที่มีความแตกต่าง ไม่ได้คำนึงว่าเรื่องนี้จะต้องดังในขณะนี้ หรือเป็นกระแส แต่ Netflix ได้สร้างทางเลือกให้กับผู้ชมที่มีความชอบเฉพาะกลุ่มให้เลือกชมกันด้วย เน้นที่คุณภาพ ไม่ได้เน้นความดัง เนื้อหาในแต่ละซีรีย์ต้องมีการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม งานภาพ และ การเล่าเรื่อง สร้างพลัง อารมณ์ร่วม และ เป็นเรื่องที่น่าบอกต่อ อีกอย่างที่เป็นสิ่งที่พวกเขาสร้างคือ Content ของตัวเอง พวกเขาเชื่อว่า ถ้าพวกเขาสร้างหนัง หรือ ซีรีย์เป็นของตัวเอง จะสามารถขยายขอบเขตความบันเทิงได้หลายประเทศทั่วโลก โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง “ลิขสิทธิ์” ซึ่งเริ่มในปี 2013 พวกเขาพัฒนาการผลิตให้มีคุณภาพที่ดี ยกตัวอย่างซีรีส์ดังอย่าง Stranger Things , Black Mirror , 13 Reasons Why , House of Cards และภายนตร์ สารคดี ทอร์คโชว์ เกมโชว์ อื่นๆ อีกมากมาย นั้นทำให้เห็นว่า Netflix ไม่ใช่ผู้ให้บริการความบันเทิงสตรีมมิ่งเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มความพิเศษให้ Netflix นั้นแตกต่าง และ เพิ่มผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น และ นโยบายหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ผู้ชมรัก Netflix คือ “พวกเขาไม่มีนโยบายให้มีโฆษณาระหว่างการฉาย” Reed เคยกล่าวเอาไว้ เพื่อทำให้การรับชมลื่นไหลมากที่สุด ทั้งยังให้ความสำคัญกับคุณภาพความละเอียดสูง เทคโนโลยีที่ทำให้วิดิโอไม่กระตุกแม้อินเตอร์เน็ตจะป่วย และ ฟังก์ชันการดาวน์โหลดรายการเก็บไว้ดูในตอนหลัง เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ชมที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้ทุกคน ปัจจุบัน Netflix ทำงานกับผู้ผลิตในหลากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งการทำงานแบบนี้ จะสามารถผลิตและสร้างคอนเทนต์ออกมาให้ตรงใจผู้ชมมากที่สุดทั่วทุกมุมโลก โดยไม่มีขอบเขตของวัฒนธรรมและภาษา ข้อคิดจาก Netflix Netflix ได้ให้ข้อคิดที่สำคัญที่สุดในงานบริการ คือ การใส่ใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง , การเอา Inside จากคนดูมาพัฒนานโยบายบริษัท , ค้นหาเพื่อให้รู้ว่าคนดู อยากดูอะไร และ การสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้ชม ซึ่งนั้นเป็นจุดแข็งที่ดีที่สุดของ Netflix ที่ส่งให้พวกเขาก้าวมาสู่บริษัทที่ให้บริการความบันเทิงรายใหญ่รายหนึ่งของโลก อ้างอิง https://www.blognone.com/node/103883 http://www.bbc.co.uk/newsbeat/article/42787047/netflixs-history-from-dvd-rentals-to-streaming-success https://ir.netflix.com/ir-overview/profile/default.aspx http://www.blueoclock.com/reed-hastings-and-netflix-story/
