category Idol's Life - Tossa Girls ลูกสาวทศกัณฑ์ที่อยากสืบสานของไทยๆ และบอกเราว่าไม่มีใครเด็กเกินจะเป็นไอดอล

Writer : kantapetch

: 27 กันยายน 2562

Tossa Girls
ลูกสาวทศกัณฑ์ที่อยากสืบสานของไทยๆ และบอกเราว่าไม่มีใครเด็กเกินจะเป็นไอดอล

ทศเกิร์ล ไอดอลจาก White Lie ค่ายเพลงของ เก่ง ธชย เกิดจากการคัดเลือกเด็กๆ ทั่วประเทศตามโรงเรียนต่างๆและสถาบันสอนดนตรี ให้เหลือ 50 คนในรอบออดิชั่น จนสุดท้ายออกมาเป็นตัวจริง 3 คน… แต่ถ้าเอาตามจริงกว่านั้น เหตุผลหลักๆ ที่เกิดวงนี้เก่งก็ยอมรับตามตรงว่า เป็นเพราะกระแสไอดอลเข้ามาในบ้านเรานั่นแหละ

แต่คงจะดีถ้ามีวงไอดอลที่มีความเป็นไทยบ้าง คอนเซ็ปต์วงเลยเป็นการต่อยอดจากตัวเองที่เป็นพ่อยักษ์ทศกัณฑ์ และมีลูกสาวเป็นทศเกิร์ล (ที่ไม่ใช่เด็กสาว 10 คน)

สียูนิฟอร์มที่ได้มาจากสีธงชาติไทยตามคาแรคเตอร์ของแต่ละคนก็ดูจะเข้ากันได้พอดิบพอดี ไข่มุก – สีฟ้า น่าค้นหา ดาราเด็กช่อง 7 เนเน่ – สีขาว ความเป็นผู้นำ สง่างาม เด็กสายประกวดรายการดนตรีต่างประเทศระดับโลก ฟาง- สีแดง ตลกธรรมชาติ แก่นแก้วมีพลังงาน เด็กสายโชว์ตัวระดับประเทศ อายุเมมเบอร์นั้นเพียง 12 และ 15 ปีเท่านั้น เพราะธชยคิดว่าไอดอลควรดูเด็กไปเลย จากประสบการณ์ความคุ้นเคยที่เขาเคยสอนเป็นครูอนุบาลมาก่อน และความคิดว่าเด็กเล็กมีความชัดเจนกว่าเด็กช่วงอายุกลางๆ แถมทำให้คนที่มองเข้ามา เห็นความสามารถเด็กที่เป็นเด็กเลย

 

แม้เราจะเพิ่งเห็นเพลงแรกของวงเพิ่งปล่อยออกไป แต่โปรเจคนี้มีมาประมาณปีกว่าๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่กระบวนการออดิชั่น ทำเพลง อัดเพลง ซ้อมท่าเต้น ยูนิฟอร์มที่แก้กันไปหลายรอบ การถ่ายทำ MV สามสาวผ่านการฝึกฝน รวมถึงทางค่ายที่คอยทดลองหยิบความเป็นไทยใส่เข้าไปในพวกเธอทีละนิด พ่อยักษ์เอาคนที่เก่งในแต่ละด้านมาช่วยทั้งด้านเสื้อผ้า กั้ง Superbaker – Starfish ที่เล่นแบ็คอัพให้อยู่แล้วมาทำดนตรี นักดนตรีที่มาอัดเพลงให้นับได้ว่าเป็น Top 2 ของประเทศ เพื่อการันตีว่าจะได้ดนตรีที่ดีจริงๆ ท่าเต้นได้พี่ชายของแบมแบม GOT7 มาออกแบบ มีการไปเวิร์คช็อปกับพี่นาย ลูกศิษย์ครูเล็กภัทราวดีเพื่อให้เด็กมีทักษะติดตัว การไปเทรนค้างคืนที่ต่างจังหวัด นอกจากนั้นยังมีการสอบวัดระดับความรู้เกี่ยวกับดนตรีเมทัล-ความเป็นไทย เรื่องราวของรามเกียรติ์ในรูปแบบแบบทดสอบจริงจัง ที่เมมเบอร์บอกว่ายากกว่าข้อสอบ o-net หรือข้อสอบที่โรงเรียนด้วยซ้ำ

 

ที่มาในการหยิบดนตรีสไตล์เมทัลมาตั้งต้นนั้น เพราะค่ายอยากได้ความเซอร์ไพรส์ในความน่ารักที่ผสมผสานไปกับแนวร็อค รวมถึงความเป็นไทยที่ถ้าใช้ความเป็นร็อคนำเสนอจะดูลงตัวที่สุด ทำให้มันไม่ดูเชย กลุ่มเป้าหมายจริงๆ ของทศเกิร์ลคือข้างนอกประเทศก่อน พวกเธอบอกว่าไม่จำเป็นต้องการร้องเพลงภาษาอังกฤษก็โกอินเตอร์ได้ แค่ต้องมีวิธีการโชว์ยังไงให้เขาเข้าใจ รวมถึงเพราะสไตล์ดนตรีที่ค่อนข้างหนักไปสำหรับบ้านเราส่วนหนึ่ง แต่ท้ายสุดที่ลูกยักษ์ออกไปข้างนอกก็เพื่อให้ยอมรับแล้วกลับเข้ามาในไทยอยู่ดี พวกเขาเองคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีการเปรียบเทียบวงกับไอดอลอื่นๆ ที่อาจดูใกล้เคียง ยิ่งคนเปรียบเทียบกับไอดอลเบอร์ใหญ่ยิ่งดี มันแสดงว่าพวกเขาทำถึง แต่ความแตกต่างที่สุดก็คือความเป็นไทยอยู่ในนั้นนั่นแหละ

ด้วยความแตกต่างของวงขนาดนี้พวกเขาเลยระบุตัวเองว่าเป็นเมทัลเกิร์ลกรุ๊ป แต่หากใครจะมองว่าเป็นไอดอลก็ยินดี แต่ไอดอลในที่นี้น่าจะมีความหมายถึงการเป็นไอดอลในสายวัฒนธรรม ความตั้งใจของวงคือการเป็นระดับศิลปินมากกว่า เพราะวิธีการของไอดอลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับวง

ลองฟัง ลูกอมปีศาจ ซิงเกิลแรกจาก Tossa Girls ความหมายเพลงที่บอกเราว่าอย่ามองคนที่ภายนอก อย่าเปรียบเทียบอย่าเหยียดกัน เพราะคุณค่าของคนอยู่ที่จิตใจภายใน แต่ละคนก็มีสิทธิของตัวเอง และถึงแม้ตอนนี้พวกเธอจะเริ่มมีการแสดงตามเวทีคู่กับธชยแล้ว แต่นี่ยังนับเป็นแค่การประเมินก่อนที่จะมีเดบิวต์เสตจที่วางไว้ประมาณช่วงปลายเดือนกันยายนอีกที

สุดท้ายเราอาจจะยังจำกัดความทศเกิร์ลแบบชัดเจนแบบตีกรอบให้ฟังไม่ได้ แต่ไม่ว่าไอดอลจะเป็นแบบไหน นี่คือไอดอลในแบบพวกเธอ Tossa Girls (ที่มีสามคน)

รู้สึกยังไงตอนฟังเพลงเมทัลครั้งแรก

ไข่มุก: จริงๆ เราก็ฟังเพลงกันหลายแนว แต่ว่าพอมาเป็นเพลงแบบนี้ มันก็ค่อนข้างใหม่สำหรับพวกเรา ก็ต้องกลับไปทำการบ้านมากขึ้น เริ่มฟังเพลงร็อคมากขึ้น

เนเน่: ที่เราเรียนร้องเพลงมาก็ไม่ได้ร้องเพลงร็อคมาเลย แต่พอเราได้ร้องก็รู้สึกว่ามันเปิดประสบการณ์ใหม่ให้เรา เป็นการฝึกให้ได้ร้องหลายๆ สไตล์ ก็เป็นประสบการณ์ เป็นความรู้ของเราด้วยค่ะ

ฟางฟาง: เราก็ต้องฟังเพลงเมทัลบ่อยๆ ให้เราคุ้นชินกับเพลงแนวนี้ แล้วเวลาเปิดก็ต้องเปิดดังๆ ให้ซึมซับเข้าไปในสายเลือดค่ะ

มีแฟนคลับที่เป็นเมทัลเฮดเลยไหม

เนเน่: มีจากต่างประเทศเหมือนกัน ที่ฟลอริด้า เขาก็มาบอกหนูว่าอยากเห็นพวกเราที่ USA จังเลย

แต่ละคนจะเผยแพร่ธีมความเป็นไทยของวงกันยังไง

ไข่มุก: หนูเป็นคนที่ชอบไปเรียนดนตรีไทย ชอบเรียนรำไทยอยู่แล้ว ก็เห็นเด็กสมัยนี้เขาก็ชอบเต้นโคฟเวอร์กัน อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องภาษาไทย เรื่องวรรณคดีไทยมาก ในซิงเกิลต่อไปของเราหนูก็อยากจะให้มีพวกหนูรำสอดแทรกเข้าไป ให้พวกหนูเล่นดนตรีไทยสอดแทรกเข้าไป ให้น้องๆ เด็กๆ รุ่นหลัง เพื่อนๆ มาดูแล้วก็รักดนตรีไทยมากขึ้น

เนเน่: หลังจากที่ทุกคนได้ดูเพลงเรา เขาจะได้ไม่ใช่แค่ดนตรีสไตล์เมทัล ไม่ใช่แค่ความสามารถของพวกเรา แต่มันเป็นการสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมไทยของเราเข้าไปด้วย MV ต่อๆ ไปอาจจะมีเรื่องราวของความเป็นไทย การทำอาหาร ขนมไทยก็อาจจะเข้ามาเล่าเรื่อง ในซิงเกิลของเราต่อๆ ไปมากขึ้น

ฟางฟาง: สมัยนี้คนเขาอาจจะชอบเต้น K-Pop แล้วก็เล่นดนตรีสากลเพราะคิดว่ามันเท่ดี หนูว่าของไทยเราก็เท่เหมือนกัน

การมาทำงานในอายุเท่านี้ มันเป็นยังไงบ้าง

ไข่มุก: มันก็มีผลเสียเรื่องเรียนนิดๆ หน่อยๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องดี มันก็ทำให้เราได้หาประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น จากเด็กปกติทั่วๆ ไป

เนเน่: เมื่อก่อนจากแค่เล่นเกมทั้งวัน มันก็ต้องแบ่งเวลาให้ได้ ถ้าวันไหนที่เราต้องไปทำงาน เราต้องมาเรียน เราจะทำการบ้านยังไง ต้องลาล่วงหน้า มันทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นผลดีมากขึ้น ทำให้เราได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการที่เราได้ทำงานก่อนคนอื่น ทำให้เรารู้จักการวางตัวในสังคม การมีสัมมาคารวะ มารยาท

ฟางฟาง: หนูว่ามันก็ไม่ได้เสียเวลาเยอะ เพราะว่าถ้าเราแบ่งเวลาดีๆ มันไม่เสีย ถึงเราไม่ได้เรียนกับเพื่อนแต่เรามาอ่านทบทวนเองได้ โทรคุยกับอาจารย์ให้อาจารย์สอนได้ อาจารย์โรงเรียนหนูก็ช่วยหนูดีค่ะ

 แต่ละคนมีฝันส่วนตัวกันไหม

ไข่มุก: หนูมีความฝันหลายอย่างตั้งแต่เด็กจนตัวเท่านี้ หนูฝันว่าอยากจะมีวงเป็นของตัวเอง อยากจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง อยากจะมีแฟนคลับเยอะๆ  และหนูก็มีความฝันอีกอย่างนึงคือ หนูอยากเป็นผู้จัดละคร หนูชอบเขียนบทละคร

(ทุกคนร้องโห)

ฟางฟาง: ไข่มุกโทรชวนเราไปเล่นด้วย

เนเน่: ของหนูก็อยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หนูเป็นคนที่ชอบร้องเพลงมาก การที่ได้มาทำซิงเกิลของตัวเองกับวง ก็เป็นส่วนหนึ่งในการประสบความสำเร็จของหนู

ฟางฟาง: หนูอยากเป็นเกิร์ลกรุ๊ปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ความฝันที่หนูอยากเป็นคือไกด์พาทัวร์เที่ยว หนูชอบภาษา ภาษาอังกฤษหนูก็ได้อยู่

บรรยากาศของวงที่มีสามคน มันเป็นยังไงบ้าง

เนเน่: อบอุ่นมากเลย พวกเราทั้งสามคนเป็นพี่น้องกัน

ไข่มุก: ตอนแรกหนูก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะสนิทกันยังไง แต่พี่เขาก็เฟรนลี่กับหนูมากทั้งพี่เน่แล้วก็ฟางฟาง

เก่ง: ก็มีกันแค่นี้นี่ (หัวเราะ)

อยากให้คนจำวงเราในแบบไหน

ฟางฟาง: อยากให้ทุกคนยอมรับเราว่า ถึงเราจะเป็นเด็กแต่เราก็สามารถสืบสานวัฒนธรรมไทยให้ประเทศอื่นๆ รู้จักได้

ไข่มุก: อยากให้จำพวกเราที่เป็นพวกเรา ไม่ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใคร

เนเน่: เราก็ยังมีความเป็นตัวตนของเราอยู่ ทุกอย่างมันก็เริ่มต้นขึ้นจากตัวเราแล้วค่อยไปต่อยอด ความเป็นพวกเราคือความน่ารัก เป็นเด็กของเรา ความสามารถของเรา ที่ออกมาในรูปแบบต่างๆทั้งการร้องการเต้น

คิดว่าเราเด็กไปไหมในการมาเป็นไอดอล

เนเน่: สำหรับหนูมันก็ไม่เด็กไปค่ะ ทุกคนสามารถทำได้ เราคิดว่าการที่ได้ลองอะไรใหม่ๆ มันไม่ได้จำกัดว่าเราต้องอายุเท่านี้ถึงจะสามารถทำได้ อายุแค่นี้เราก็สามารถทำได้

ไข่มุก: หนูในอายุเท่านี้หนูก็อยากจะเป็นไอดอลในแบบของหนู

แล้วถ้าเราโตกว่านี้ จะยังจะขายความเป็นเด็กได้ไหม

เนเน่: ถึงหนูจะ 15 โตที่สุดในวงแล้ว แต่พวกเราก็ยังมีความน่ารัก ความใสของวัยเด็กของเรา เราอาจจะโตในเรื่องของร่างกายความคิด ความคิดเราก็อาจจะเปลี่ยนไปตามสังคมที่เราเจอที่มันเกิดขึ้น ในสังคมแบบนี้เราจะมีความคิดยังไงในการถ่ายทอดเพลงของเรา อาจจะมีไอเดียที่มากขึ้น ในความเป็นเด็กเราอาจจะมีไอเดียแค่นี้เพราะเรายังมีความรู้ไม่มากพอ แต่พอเราโตขึ้นเรามีการเรียนรู้ที่มากขึ้น มันก็จุดประกายไอเดียใหม่ๆ สำหรับพวกเราทั้งสามคนด้วยเหมือนกัน

ฟางฟาง: โตขึ้นไปหนูไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงแต่ว่าความเป็นเพื่อนของเราทั้งสามคนจะมีอยู่แน่นอน

ไข่มุก: จริงๆ พวกเราก็ยังเป็นพวกเราในความคิดหนู ถึงจะโตไปแต่ทุกคนก็จำภาพเราตอนนี้ได้อยู่แล้ว เพราะงั้นหนูสัญญาว่าหนูจะไม่โตค่ะ

แล้วคิดว่าต่อไปอีก 10 ปี จะทำอะไรกันอยู่

ไข่มุก: หนูก็คงจะแต่งบทละครอยู่ ก็อาจจะให้พี่ๆ มาเล่นด้วยก็ได้ค่ะ

ทุกคน: โห (ลากเสียงยาว)

ไข่มุก: หนูก็อยากให้วงอยู่อย่างนี้ไปอีก 10 ปี 50 ปี 100 ปี  อยากให้พวกเราอยู่กันอย่างนี้ตลอดไปจริงๆ

เนเน่: วงเรามันก็คงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตามสังคมตามยุคสมัย บางสิ่งที่เข้ามามีผลต่อวัฒนธรรมไทยมากขึ้น มีเรื่องที่เข้ามาในชีวิตเรามากขึ้น เพราะว่าหนูก็อยากให้เราทั้งสามคนทำงานด้วยกันเหมือนเดิม ส่วนตัวหนูอยากเป็นครูสอนร้องเพลง เปิดสถาบันดนตรี การให้ความรู้มันก็เป็นการถ่ายทอดบางอย่างเหมือนที่พี่เก่งก็ถ่ายทอดมาหลายอย่างมาให้พวกเรา หนูก็อยากจะถ่ายทอดต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกัน

ฟาง: เป็นอะไรดี ไม่รู้เหมือนกันหนูก็จะเป็นสิ่งที่หนูชอบแล้วกัน เป็นอะไรก็ได้

แล้วคิดว่าวงการไอดอลตอนนั้นจะเป็นยังไง

ไข่มุก: อนาคตหนูคิดว่าน่าจะมีหุ่นยนต์มาเต้นแทนเราหรือเปล่า แต่ถ้าหนูเป็นคนที่มีส่วนร่วมในวงการ อยากให้เรามีความเป็นไทยมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในไทยมันเป็นเอกลักษณ์ อยากให้สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในกรุ๊ปของทุกๆ วงของไทย

เนเน่: ใน 10 ปีข้างหน้าก็อาจจะมีคนที่เห็นเราเป็นไอดอลเขาอาจจะอยากลองทำตามเราบ้างแต่ในเป็นวัฒนธรรมของเขาก็เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมในแต่ละประเทศ

ถ้าในอนาคต มองย้อนกลับมาตอนนี้ จะคิดถึงช่วงชีวิตตอนนี้ในแบบไหน

ไข่มุก: ถ้าหนูย้อนกลับมามอง หนูคงจะภูมิใจในตัวเองมากๆ ที่ตอนเด็กๆ อย่างน้อยหนูก็ได้มีเพื่อนที่ดี ได้มีความสุขในการที่เราได้ทำในสิ่งที่อยากเป็น เราได้ทำอะไรหลายอย่างที่ผู้ใหญ่อาจจะไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้

เนเน่: หนูคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลยสำหรับในวัยนี้ ถ้าโตขึ้นแล้วหนูทำมันอาจจะช้าไป เราในอายุ 15 เราได้ทำแล้ว เราได้พัฒนาความสามารถของเราแล้ว มันสามารถทำให้เราต่อยอดแล้วก็ไปไกลได้กว่าคนที่เพิ่งจะเริ่มทำ

ฟางฟาง: ถ้ามองย้อนกลับมาหนูก็คงจะภูมิใจ แล้วก็อายใจด้วยเหมือนกันที่ทำให้พี่ๆ ทุกคนเห็นความติงต๊องของหนู (หัวเราะ)

Writer Profile : kantapetch
หมาผู้พยายามน่ารักเท่าโลก
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

Bangkok Idol Festival: Guide Book [Tossa Girl]


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save