Violet Winkความหวัง โอกาส และหัวใจที่ ‘อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ’ ของน้องใหม่ในโลกไอดอล ถ้าเปรียบวงการไอดอลในไทยเป็นทุ่งดอกไม้ ตอนนี้คงเป็นฤดูกาลที่หมู่มวลไม้ดอกหลากพันธุ์แข่งกันผลิบาน อย่างที่เห็นกัน มีวงไอดอลเกิดขึ้นใหม่แทบทุกวัน แต่ละวงก็มีคอนเซปต์ใหม่ๆ มีแนวเพลงเป็นของตัวเอง และมีเมมเบอร์ที่มีความน่าสนใจแตกต่างกันไป ท่ามกลางความใหม่ กลุ่มเด็กสาวผู้เปรียบตัวเองเป็นดอกไม้สีม่วงแห่งความศรัทธาและจริงใจ นาม ‘Violet Wink’ ผลิดอกขึ้นกลางทุ่งอย่างกล้าหาญ แนะนำตัวเองว่าพวกเธอคือวงไอดอลน้องใหม่ผู้อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ “Violet เป็นชื่อดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความศรัทธา ซื่อสัตย์จริงใจ ส่วน Wink แทนเสน่ห์ตามธรรมชาติของผู้หญิง” อัลตร้า หนึ่งในเมมเบอร์ตั้งต้นของวง ช่วยแนะนำ “วงเราจะเป็นวงไอดอลที่ดูโตขึ้น การเต้นการร้องจะแข็งแรง รวมถึงคาแรกเตอร์ของพวกเราเก้าคน (ปัจจุบันวงมีสมาชิกเพิ่มมาอีก 2 คน เป็น 11 คน) ก็จะไม่เหมือนกัน ตรงนี้เป็นเสน่ห์ เป็นความความน่าสนใจของวง” แต่ในเมื่อกวาดสายตาดูเมมเบอร์ทุกคนในวง ก็เป็นวัยที่ไล่เลี่ยกับไอดอลวงอื่น เราจึงสงสัยว่า โตขึ้นที่ว่านี้คือยังไง “ที่โตขึ้นอาจจะหมายถึงการร้องการเต้น รวมถึงการแสดงของพวกเรา อยากจะตีความให้ลึกซึ้ง เพื่อเวลาสื่อสารไปแล้ว คนจะได้รู้สึกถึงเพลงพวกเราจริงๆ” กิกิ๊ ตอบเรา นอกจากอัลตร้า อีกหนึ่งเมมเบอร์ตั้งต้นของวงคือ เวเฟอร์, ใช่ ทั้งสองคืออดีตเมมเบอร์ของไอดอลกรุ๊ปที่ยุบวงไปแล้ว ซึ่งก็ใช่ว่าการมียี่ห้อไอดอลประทับจะทำให้พวกเธอได้รับบัตรผ่านอีซี่พาส เข้ามาเป็นเมมเบอร์ Violet Wink ทันที พวกเธอก็ต้องผ่านขั้นตอนการออดิชั่นเหมือนทุกคนที่เหลือ (ซึ่งเข้ามาทีหลัง) ย้อนไปวันที่ยังมีกันแค่สองคน เราถามทั้งคู่ว่า เคยจินตนาการไหมว่า พอได้เมมเบอร์ครบวงแล้ว Violet Wink จะมีหน้าตาแบบไหน “ไม่รู้เลย รู้แค่ว่ามันคงเป็นวงที่รวมคนที่มีความฝันไว้ด้วยกัน” เวเฟอร์ ตอบอย่างจริงใจ จนในที่สุด เด็กสาวผู้มีความฝันก็มารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย และมุ่งหน้าเข้าห้องซ้อมโดยไม่รั้งรอ “ตอนนี้ก็ซ้อมเกือบทุกวัน แบ่งเป็นพาร์ทร้อง เต้น แอ็คติ้ง ซ้อมประมาณสามวันต่อสัปดาห์” อิงโกะ อธิบาย ซ้อมทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่า เพลงของตัวเองจะเป็นยังไง “มันอาจจะเป็นประมาณ J-Pop บวก K-Pop มีเมโลดี้แข็งแรงค่ะ” ชฎา ลองเดาเล่นๆ “ผู้ใหญ่อยากเห็นศักยภาพเราก่อน ทั้งการร้อง การเต้น การแสดง อยากฝึกซ้อมจนทุกคนพร้อมจริงๆ แล้วค่อยเดบิวต์” มุก กล่าว “ด้วยความที่เวลาพวกเรารวมกัน บุคลิกของแต่ละคนมันโดดเด่นสุดๆ เราเลยตั้งความหวังว่าเพลงจะต้องพิเศษและแปลกใหม่แน่นอน” อัลตร้า สรุป คำถามบังคับ – ตอนนี้มีความคาดหวังกันแค่ไหน “ส่วนตัวหวังว่า พวกเราทุกคนจะเติบโตไปพร้อมกัน อนาคตอาจจะมีเมมเบอร์ใหม่ก็ได้” การ์ตูน ตอบ อัลตร้าเสริมเรื่องอนาคตต่อว่า น่าจะมีกิจกรรมพบปะแฟนคลับเหมือนไอดอลวงอื่น เช่น ถ่ายรูป 2 shot เชกิ หรือการพูดคุยกัน “จริงๆ เป็นกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ให้เราได้ใกล้ชิดกับแฟนคลับ” แล้วในฐานะน้องใหม่ Violet Wink คิดว่าตัวเองจะเอาตัวรอดยังไงในช่วงเวลาที่หันขวาซ้ายก็เจอวงไอดอล “เราไม่ได้มองวงอื่นเป็นคู่แข่ง แต่มองเป็นพี่น้อง วงที่มาก่อนก็เป็นวงพี่ พวกเราก็เป็นวงน้อง ทุกคนอยู่ร่วมกัน ช่วยกันผลิตผลงานดีๆ สู่วงการ มองอย่างนี้มากกว่า” เวเฟอร์ ตอบสวยๆ ซึ่งผลงานดีๆ ที่พวกเธอจะผลิตในอนาคต จะนานเกินรอไหม “ไม่นานเกินรอแน่นอนค่ะ พวกหนูจะตั้งใจซ้อมและพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุด” มิวยู บอก “ก็อยากฝากวงน้องใหม่อย่างพวกเราด้วยนะคะ สัญญาว่าจะตั้งใจทำอย่างเต็มที่ที่สุด ให้ทุกคนชอบในผลงานพวกเรา และเราก็อยากอยู่ในวงการนี้ไปนานๆ ค่ะ” อัลตร้าคือหนึ่งในสองเมมเบอร์ตั้งต้นของวง ช่วยเล่าบรรยากาศตอนที่วงยังมีแค่สองคนหน่อย อัลตร้า: ตร้าออดิชั่นรอบเดียวกับพี่เวเฟอร์ บรรยากาศตอนอยู่ในวงกับพี่เวเฟอร์แค่สองคนก็ตื่นเต้นค่ะ เพราะเรารู้ว่า ถ้าเราติดตรงนี้ เราจะได้เป็นเมมเบอร์ตั้งต้นก่อน ก็ตื่นเต้นว่าเมมเบอร์ที่เหลือจะเป็นยังไง เราก็มีงานเปิดตัวที่งาน Idol Expo ขึ้นเวทีไปเปิดตัวว่าจะมีวง Violet Wink และมีพวกหนูเป็นเมมเบอร์ตั้งต้น ตอนนั้นก็ตื่นเต้นอีกเหมือนกัน เพราะสำหรับตร้ากับพี่เวฟ เหมือนเป็นก้าวที่ 2 จากบ้านเก่า ซึ่งตรงนั้นเราก็ทำเต็มที่ แต่ตรงนี้ก็เป็นโอกาสที่เราต้องคว้าเพื่อทำให้ดีกว่าเดิม ก็ดีใจมาก แฟนคลับก็ยินดีด้วย บรรยากาศในวันนั้นก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดีใจ ทั้งแฟนคลับและตัวหนูเอง ถามการ์ตูนกับอิงโกะ ทำไมถึงมาออดิชั่น Violet Wink การ์ตูน: ตูนเล่าในวันออดิชั่นไปว่า เคยตาม 7th Sense มาก่อน และเห็นข่าวว่ามีการเปิดตัววงนี้ในงาน Idol Expo ก็ดีใจกับตร้าและพี่เวฟที่ได้รับโอกาสกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และพอเขาเปิดสมัครเลยสมัครดู อิงโกะ: หนูก็เห็นวงนี้จากในโซเชียล เห็นพี่อัลตร้า พี่เวเฟอร์ ที่งาน Idol Expo ก็รู้สึกว่า อุ๊ย อยากมาเป็นสมาชิกในวงนี้จังเลย จริงๆ หนูเคยเจอพี่อัลตร้าแล้วด้วย น่ารักดี (หัวเราะ) เขิน พอได้มาอยู่กับพี่เขา ก็น่ารักจริงๆ ไม่ผิดหวัง ตื่นเต้นแค่ไหนในวันออดิชั่น ทำอะไรเปิ่นๆ ไปบ้าง อิงโกะ: วันนั้นหนูตัวเล็กที่สุดเลย จะได้หรือเปล่า แต่พอเข้าไป ก็เป็นกันเอง ไม่ค่อยกดดันเท่าไร พยายามพรีเซนต์ความเป็นตัวเองออกมาให้ดีที่สุดค่ะ เพราะไอดอลเขาก็ต้องการความเป็นธรรมชาติ ความเป็นตัวเอง ซึ่งความเป็นตัวเองของหนูก็จะไม่พูดค่อยรู้เรื่องเท่าไร โก๊ะๆ เปิ่นๆ บางทีก็อาจจะทำอะไรซุ่มซ่ามๆ นิสัยเด็กๆ เขาให้เสนอท่าเต้นแนวใหม่ เพราะเต้นซ้ำๆ กันมาหลายคนแล้ว เลยเต้นจินตลีลาไปค่ะ น้องไก่อะไรอย่างงี้ (หัวเราะ) อัลตร้า: วันออดิชั่น ตร้าเพิ่งไปงานบวชมา ซึ่งชุดก็เป็นสีขาว เป็นกระโปรง เหมือนนางฟ้าลอยมาเลย (หัวเราะ) แต่ตอนแสดงความสามารถก็ไม่ได้เปิ่นอะไร น่าจะเปิ่นที่ชุดมันไม่เข้านี่แหละ การ์ตูน: ตูนไม่เคยออดิชั่นวงไอดอล ก็ตื่นเต้นมากๆ แล้วตูนเป็นคนตื่นเต้นแล้วอยากเข้าห้องน้ำตลอดเวลา รอออดิชั่นสองชั่วโมง เข้าห้องน้ำไปสิบกว่ารอบ (หัวเราะ) แถมกางเกงขาด หม่าม้าต้องไปซื้อเข็มมาเย็บให้ตรงนั้นเลย จริงๆ แอบกลัวด้วย มันไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ นี่เป็นครั้งแรก ซึ่งวันออดิชั่น ตูนก็ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดปกตินะ แต่ทุกวันนี้โดนแซวว่าอาจุมม่า เกิดจากวันนั้นดัดลอนไป รอนานตั้งแต่เช้า ผมเลยเริ่มฟู แล้วตูนใส่กางเกงวอร์มขาบานๆ พี่นิวเลยเรียกว่าอาจุมม่า เหมือนคุณป้ามารอหลานออดิชั่น เป้าหมายในการเป็นไอดอล อัลตร้า: อยากจะเป็นคนที่ให้แรงบันดาลใจคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องชีวิต ทุกๆ อย่าง ในวันที่เขาท้อ อยากให้เขาหันมาเจอหนูแล้วมีกำลังใจ อิงโกะ: หนูก็อยากต่อยอดจากสิ่งที่ทำตั้งแต่เข้าวงมาให้ประสบความสำเร็จที่สุด อยากจะพัฒนาในเรื่องความมั่นใจ และก็ความรับผิดชอบในหน้าที่ การ์ตูน: ตูนคิดเหมือนกับตร้าเลย คือตูนอยากเป็นไอดอลเพราะอยากเป็นกำลังใจ อยากเป็นพลังให้คนอื่น แต่ถ้ามองที่ตัวเอง ก็อยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะศาสตร์นี้มันพัฒนาได้ไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะด้านไหน (อยากพัฒนาด้านไหนที่สุด) ตัวตูนคือเรื่องร้อง เพราะตูนเคยมีปัญหาเส้นเสียงอักเสบจนเสียงแหบ ทำให้ช่วงหนึ่งตูนไม่กล้าร้องเพลง แต่ก็พัฒนามาเรื่อยๆ สำคัญที่สุดคือตูนมีความสุขที่ได้ทำ ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งนี้ ก็พยายามมาตลอด และก็อยากพัฒนาไปอีกเรื่อยๆ อิงโกะ: หนูอยากพัฒนาเรื่องการพูด อยากเรียบเรียงคำพูดให้มันสลวย พูดให้รู้เรื่อง อัลตร้า: ทุกด้านเลยค่ะ อย่างที่พี่ตูนบอกเลย สกิลมันไม่สิ้นสุดจริงๆ ทั้งการร้อง การเต้น พูดออกสื่อ ก็อยากฝึกให้เก่งขึ้นทุกเรื่องเลยค่ะ รู้สึกยังไงกับการเป็นวงไอดอลน้องใหม่ ในช่วงเวลาที่วงไอดอลมีกว่าครึ่งร้อยวง อัลตร้า: หนูมีความคาดหวังว่า อย่างน้อยต้องมีคนติดตาม มันต้องออกมาดี การ์ตูน: อย่างน้อยพวกเราทุกคนตั้งใจ ต้องมีสักคนที่เห็นในความตั้งใจนี้ อิงโกะ: จุดเด่นของพวกเราคือความแปลกใหม่ ทั้งการร้องและเต้น ยังไงต้องน่าติดตามอยู่แล้ว อีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่ ยังเป็นไอดอลอยู่หรือเปล่า อิงโกะ: หนูมองตัวเองว่า ถ้าสมมติหนูจบพาร์ทในการเป็นไอดอล ก็คงจะยังรักษาการร้องเพลง การเอนเตอร์เทนคนไปเรื่อยๆ เพราะเป็นสิ่งที่หนูชอบ คงจะทำงานในวงการบันเทิงต่อไป การ์ตูน: ถ้าทุกคนยังอยู่ด้วยกัน ก็จะยังอยู่กับทุกคนค่ะ แต่ถ้าวันนึงไม่ได้ทำตรงนี้แล้ว ก็น่าจะทำงานวงการบันเทิงต่อ ไม่แน่ใจว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง เพราะตูนก็เรียนจบนิเทศ แต่ก็น่าจะเป็นตัวเองที่มีคุณภาพประมาณหนึ่ง อัลตร้า: ถ้ายังมีวงอยู่ เราก็ยังผลิตผลงานดีๆ ต่อไป แต่ถ้าเป็นไปได้ ตร้าก็อยากทำงานจิตอาสา ช่วยเหลือสังคม แบ่งปันความรู้ อย่างตร้าถนัดตรงนี้ ก็อาจไปช่วยสอนร้องเพลงเด็กๆ ที่ไม่มีโอกาสเหมือนเรา ต่อจากนี้ อยากให้คนจำเราในแบบไหน อัลตร้า: อย่างที่บอกค่ะ อยากให้จำว่าตร้าเป็นแรงบันดาลใจที่ดี พอท้อปั๊บ นึกถึงอัลตร้า อยากมอบพลังบวก เสียงหัวเราะ รอยยิ้มให้ทุกคนได้ อิงโกะ: น่าจะเป็นความสดใส อยากเป็นโลกที่สว่างให้คนอื่นๆ ให้มีพลังฮึดขึ้นมาใช้ชีวิตต่อไป การ์ตูน: รอยยิ้ม พลังจากรอยยิ้ม ตูนรู้สึกว่ารอยยิ้มของทุกคนมีพลังบางอย่าง คนเราจะสัมผัสได้ถึงตรงนั้น ตูนเป็นคนยิ้มเก่งมากจริงๆ หยุดยิ้มไม่ได้ (ยิ้ม) อิงโกะ: วันออดิชั่น นั่งหงิมกันหมดเลย หนูหันไปเห็นพี่ตูน ยิ้มอยู่คนเดียวเลย (หัวเราะ) เวเฟอร์คือหนึ่งในสองเมมเบอร์ตั้งต้นของวง รู้สึกยังไงกับก้าวที่ 2 ของตัวเองในการเป็นไอดอล เวเฟอร์: ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส เพราะเราก็ยังอยากทำตามความฝันด้านนี้ต่อ ตอนแรกก็มีความคิดว่าจะไม่ทำแล้ว แต่ก็โชคดีที่ได้ทำอยู่ ได้สานฝันต่อ ก็อยู่ในวงไม่นานมาก ก่อนจะมีออดิชั่นเมมเบอร์คนอื่นเข้ามา เรียนรู้อะไรจากก้าวแรกที่ผ่านไปบ้าง เวเฟอร์: เรียนรู้การทำงานเป็นทีม เราผ่านประสบการณ์มาก่อน ก็สามารถบอกเพื่อนได้ว่า ตอนนี้จะไปตรงนี้นะ เราเคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้นะ เวลาเกิดอะไร จะแก้ปัญหายังไง เวลาเพื่อนมาขอคำปรึกษา ความที่เราผ่านมาหนึ่งปี อาจจะรู้เยอะกว่าคนอื่นๆ เราเลยเป็นเหมือนรุ่นพี่ที่คอยแนะนำน้องๆ ถามกิกิ๊กับมิวยู ทำไมถึงมาออดิชั่น Violet Wink กิกิ๊: ตอนเด็กๆ หนูเป็นคนที่ชอบเต้น ชอบร้องเพลงมาก แต่รู้สึกว่าวงการนี้มันไกลตัว เราเหมือนเป็ด ไม่ได้เต้นเก่งที่สุด ร้องเก่งที่สุด หน้าตาก็ไม่ใช่ First Impression ที่ทุกคนเห็นแล้วต้องรักเรา พอช่วงหลังวงการมันบูมขึ้น โอกาสเปิดกว้างขึ้น โอกาสใกล้ตัวเรามากขึ้น เลยลองดูค่ะ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เราเคยฝันมาก่อน มิวยู: หนูก็อยากเป็นไอดอล เพราะพี่สาวก็เป็นไอดอล เห็นพี่ประสบความสำเร็จแล้วก็อยากเป็นเหมือนพี่ ที่มาออดิชั่นเพราะเห็นในเฟซบุ๊ก แล้วชอบความหมายของวง เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ คิดว่ามันเข้ากับตัวหนู มันคือตัวหนู เผาตัวเองตอนออดิชั่นหน่อย ทำอะไรเด๋อๆ ไปบ้างไหม กิกิ๊: พี่เขาถามว่า คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ตรงไหน หนูก็ตอบว่า หนูเป็นคนจิตใจดี อยากฟังไหมคะว่าหนูทำอะไรมาบ้าง (หัวเราะ) มิวยู: หนูปล่อยผมไปในวันออดิชั่น พี่เขาก็แซวว่า คาแรกเตอร์มิวยูคือผมปิดหน้าหรอ ใครปิดไฟ (หัวเราะ) เวเฟอร์: ด้วยความที่เรามีเพื่อนที่มาออดิชั่นด้วยกัน แล้วเราไม่ใช่คนเต้นเก่งมาก เลยกังวลจะทำได้ดีไหม กดดันตัวเอง จากที่ควรจะดีก็ไม่ดี เหมือนต้องใช้เวลาแป๊บนึง พักก่อนแล้วมาเต้นให้ดูใหม่ ก็ทำได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีตามที่ตั้งใจ เพราะมันกดดัน ตอนร้องเพลงก็ร้องเพี้ยน ยิ่งเป็นคนสุดท้ายด้วย เพื่อนๆ ทำเสร็จแล้ว แต่เรายังคิดอยู่เลยว่าจะเต้นเพลงอะไรดี แต่ก็พยายามผ่อนคลายตัวเองมากขึ้น คิดว่า ทำให้เหมือนตอนแสดงต่อหน้าคนบนเวที ตอนนั้นเรายังทำได้เลย นี่คนไม่กี่คนเอง ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ อยากเห็นตัวเองเปลี่ยนไปยังไงในชีวิตไอดอล มิวยู: แน่นอนว่าต้องเป็นทางที่ดีขึ้นค่ะ อยากเป็นแบบอย่าง เป็นแรงบันดาลใจ อยากมอบความสุขให้คนที่มาดูพวกเรา กิกิ๊: อยากให้ผลงานที่กำลังจะออกมา สร้างแรงบันดาลใจต่อไปได้ ในอนาคตถ้ามีเพลงแล้ว มีคนเห็นว่าเราเต้นได้อย่างนี้ ร้องได้อย่างนี้ เขาก็อาจไปสานต่อความฝันก็ได้ เป็นแรงบันดาลใจให้เขา เวเฟอร์: เป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆ เยาวชนๆ คือเวฟคิดว่าวงการไอดอลยังมีอีก ต้องมีวงใหม่ๆ เกิดขึ้นมา มีเด็กที่ยังมีความฝันอยู่ว่าอยากเป็นอย่างพี่คนนี้ ถามว่าเต้นไม่เก่งร้องไม่เก่งเป็นไอดอลได้ไหม เวฟก็เป็นคนที่เต้นไม่เก่งร้องไม่เก่ง คนเรามันพัฒนาได้จริงๆ พวกเราเป็นวงน้องใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงที่วงการไอดอลในไทยบูมมาราวๆ 2 ปี คิดว่าช้าไปไหม ตลาดวายหรือยัง เวฟ: สำหรับเวฟคิดว่ายัง กิกิ๊: วงการไอดอลมันน่าจะดำเนินต่อไปได้ เติบโตไปได้อีก เพราะคำว่าไอดอลมันไม่ได้จำกัดแค่คนที่เต้นเป็นร้องเป็นเท่านั้น ยังมีไอดอลอีกหลายแง่มุม ไอดอลด้านการเรียน ด้านแคสต์เกม มันกว้างมาก ถ้าคนเราต้องใช้แรงบันดาลใจ กำลังใจในการใช้ชีวิต วงการไอดอลก็ยังไปต่อได้เรื่อยๆ เช่นกัน อีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่ ยังเป็นไอดอลอยู่ไหม มิวยู: คิดว่าทุกคนมีความเป็นไอดอลในตัวของตัวเองอยู่แล้ว อนาคต หนูอาจจะทำอย่างอื่นแล้ว แต่หนูก็อยากจะเป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้อยู่ กิกิ๊: สำหรับหนู ก็อาจจะอายุเยอะพอสมควร (หัวเราะ) ก็ยังอยากทำตามความฝันของตัวเองต่อไป ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ทำแล้วเรามีความสุข คนรอบตัวมีความสุข เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ เวเฟอร์: อาจจะทำงานในวงการอยู่ แต่อาจจะปลีกตัวเองไปช่วยงานสังคมมากขึ้น เพราะเวฟชอบการช่วยเหลือคนอื่น เลยรู้สึกว่า คงไม่หยุดอยู่แค่การเป็นไอดอล เวฟอยากเป็นกระบอกเสียง อย่างพี่ปู ไปรยา ที่เป็นหนึ่งเสียงที่สามารถช่วยเหลือสังคมได้ อยากให้คนจำเราในแบบไหน มิวยู: หลายคนบอกว่า หนูหน้าเหมือนแมว (หัวเราะ) กิกิ๊: หนูอยากให้คนมองว่าหนูตลก ล้อเล่น (หัวเราะ) อยากให้มองว่าเราเป็นคนสดใส เราส่งพลังบวกให้คนได้ ให้คนเขามองว่าหนูเป็นเซฟโซนของเขา เวเฟอร์: หนูว่าคนเรามีความไม่สบายใจ ถ้าเขามาดูเราแล้วได้พลังจากเราไป เวฟจะได้รับข้อความทุกวัน ถึงเราจะตอบไม่ได้ แต่เราก็ได้รู้ว่าเรายังเป็นกำลังใจให้คนหลายๆ คนเลย เคยมีน้องมาบอกว่า ทะเลาะกับแม่ จะฆ่าตัวตาย เวฟเลยลงสตอรี่ถึงเขา แล้วเขามาอ่าน ก็ขอบคุณที่หนูให้กำลังใจเขา ทำไมถึงมาออดิชั่น Violet Wink มุก: มันเป็นความฝันของเราที่อยากเป็นไอดอล ไอดอลมันไม่ได้มีแค่การร้องการเต้น หรือเฉพาะในช่วงนี้ที่มันบูม เราว่าไอดอลเป็นตัวอย่างที่ดีมาตั้งนานแล้ว และเราอยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้ใครสักคนหนึ่ง พอ Violet Wink ประกาศออดิชั่น เลยสมัครค่ะ ฮ๋วง: หนูอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ตัวเอง และเหมือนที่พี่มุกบอกเลยค่ะ ก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้หลายๆ คน ชฎา: การเป็นไอดอลคือความฝันของหนู ตั้งแต่เด็กๆ หนูอยากเป็นไอดอล มันทำให้ตัวเรามั่นใจขึ้น ชอบการเต้น การร้อง ชอบแสดงให้ทุกคนดู ก่อนหน้านี้ทำอะไรกันมาบ้าง มุก: เพิ่งเรียนจบ จริงๆ ตอนแรกคุณพ่อไม่อยากให้เข้าวงการบันเทิง แต่เราเป็นคนชอบร้อง ชอบเต้น ชอบงานวงการบันเทิง แต่คุณพ่ออยากให้เรียนจบก่อน พอเรียนจบก็ลองมาสมัครดู ก่อนหน้านี้ก็มีแค่ถ่ายโฆษณาเล็กๆ น้อยๆ ฮ๋วง: หนูมีแสดงเป็น extra เพราะชอบการแสดง ก็มีไปแคสต์โน่นนี่บ้าง ชฎา: หนูเพิ่งเรียนจบ แล้วไปประกวดเวทีมิสแกรนด์ ก่อนมาเข้าวงนี้ค่ะ หลงใหลในการร้องการเต้นแค่ไหน มุก: หนูชอบมาก แต่ไม่ถึงกับเป็นความสามารถพิเศษ ฝึกร้องฝึกเต้นเอง ถ้าเทียบกับคนอื่น เขาก็น่าจะเก่งกว่า แต่เมื่อก่อนชอบศิลปะ ชอบวาดรูป พอไปเรียนวิศวะ ก็ทำให้ชอบคิดโปรเจกต์ เช่นถ้าโลกเรามีอะไรอย่างนี้ มันจะสะดวกสบายขึ้นยังไง ฮ๋วง: หนูชอบร้องเพลง เต้นก็ชอบค่ะ แต่ถนัดร้องเพลงมากกว่า แล้วก็ชอบวาดรูป โตขึ้นอยากเป็นสถาปนิกค่ะ ชฎา: ชอบเต้นค่ะ เคยเรียนเต้น Jazz กับ Contemporary ส่วนร้องเพลงก็ยังไม่เก่งค่ะ มุก: ทุกคนเข้ามา อาจจะยังมีสกิลไม่เท่ากัน อย่างฮ๋วงอาจจะร้องเพลงเก่ง ชฎาจะเต้นเก่ง แต่ทุกคนก็มีรีสกิลพื้นฐานกันใหม่หมดเลย มาเวิร์คช็อป เพราะเรายังไม่รู้ว่าวงจะเป็นยังไง สิ่งสำคัญคือการดึงความเป็นตัวเองของแต่ละคนออกมาให้มากที่สุด ความคาดหวังในการเป็นไอดอล มุก: หนูเป็นคนไม่ค่อยชอบคิดถึงอนาคตว่าจะเป็นยังไง มีวางแผนนิดหน่อยว่าจะไปถึงจุดไหน แต่ก็ไม่ได้คิดว่า วงเปิดตัวไปแล้วจะเป็นยังไง ทุกคนก็คาดหวังให้มันดี ถ้าผลตอบรับมันดี แสดงว่าที่เราพยายามทำอยู่มันดีแล้ว แต่ถ้าไม่ดี ก็ต้องพัฒนามากขึ้น ฮ๋วง: คิดว่าการเป็นไอดอลจะทำให้เรามีความขยัน ความตั้งใจ และมีแรงผลักดันให้เราอยากพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แล้วอีก 10 ปี คิดว่าตัวเองจะทำอะไรอยู่ จะยังเป็นไอดอลอยู่ไหม ฮ๋วง: น่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงแล้ว (หัวเราะ) หรือไม่ก็เป็นสถาปนิก มุก: ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปแสดงในระดับโลก เป็นนักร้อง นักแสดง หรือคิดประดิษฐ์อะไรสักอย่าง ชฎา: อยากทำตามความฝันของตัวเองค่ะ ก็คือเป็นนักแสดง คิดเร็วๆ แค่ในปีนี้ อยากให้ Violet Wink อยู่ตรงไหนในวงการไอดอล ฮ๋วง: ท็อป 5 (หัวเราะ)