category 20 เรื่องหลังพวงมาลัยที่อาจไม่เคยรู้ของ Fast & Furious

Writer : buubae

: 23 มิถุนายน 2564

22 มิถุนายน 2001 ผู้คนได้ชมหนังแนวรถซิ่งที่แต่งเท่ เครื่องแรง…เร็วทะลุนรก กันทั่วโลก ทำให้พวกเราได้รู้จักกับ 2 นักแสดงที่ดังเป็นพลุแตกอย่าง วิน ดีเซล และ พอล วอล์คเกอร์

20 ปีต่อมา จากจุดเริ่มต้นหนังโจรกรรมของกลุ่มวัยรุ่นขโมยเครื่องเสียงที่กำลังพุ่งทะยานออกไปนอกโลกในอีกไม่กี่สัปดาห์(ในไทย) Fast & Furious ถือเป็นอีกหนึ่งเฟรนไชส์ที่อยู่คู่กับวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนาน และครองใจคนดูทั้งในไทยและทั่วโลก

เนื่องในโอกาสที่ตัวหนังเพิ่งครบรอบ 20 ปี MangoZero จะขอมาเล่าเรื่องหลังพวงมาลัยที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนของหนังเรื่องนี้ ถ้าพร้อมแล้วกันแล้วก็เตรียมสตาร์ทเครื่องและอ่านไปพร้อมๆ กันเลย!

ถ้าอยากดูแบบตามเนื้อเรื่องจะต้องดูภาค 1 > 2  > 4 > 5 > 6 > 3 > 7 > 8 > 9 

ใครจะไปรู้ว่าเฟรนไชส์หนังเรื่องนี้จะก้าวมาถึงภาคที่ 9 แล้ว และแน่นอนว่าการเรียงลำดับของเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าจะดูแบบไล่เรียงตามเนื้อเรื่องก็จะมีเฉพาะภาค 3 เนี่ยแหละที่ต้องย้ายไปอยู่ระหว่างภาค 6 และ 7 เนื่องจากเนื้อเรื่องในภาค 3 หรือ Tokyo Drift นั้นพูดถึงการตายของตัวละครที่หลายคนรักอย่าง “ฮาน”

และตอนท้ายของภาค 6 ได้มีการเปิดตัว เดคคาร์ด ชอว์ ตัวร้ายผู้พี่ของ โอเว่น ชอว์ ที่ถูกจัดการในภาค 6 และกลายไปเป็นผักต้มช่วงต้นเรื่องของภาค 7 โดยเดคคาร์ดได้ทำการสังหารฮานในช่วงท้ายภาค 6 และโทรหาดอมในช่วงต้นๆ เรื่องภาค 7 นั่นเอง

นอกจากภาคหลักแล้ว ยังมีหนังสั้นอีก 2 เรื่องที่เคยฉายให้แฟนๆ ได้ดูกัน ได้แก่

The Turbo Charged Prelude for 2 Fast 2 Furious หนังสั้นที่เล่าเรื่องของไบรอันก่อนไปไมอามี่ และ Los Bandoleros หนังสั้นที่เล่าเรื่องราวหลังการหลบหนีของดอมในภาค 1 เพื่อเชื่อมไปยังภาค 4 นั่นเอง

อีกทั้งยังมี Better Luck Tomorrow หนังที่ว่ากันว่าเป็นเรื่องราวก่อนจะมาเป็นฮานในทุกวันนี้ กำกับโดย Justin Lin ผู้กำกับขวัญใจเฟรนไชส์นี้นี่เอง

The Fast and the Furious ได้แรงบันดาลใจจากคอลัมน์ Racer X ในนิตยสาร VIBE ฉบับ พฤษภาคม 1998

Rob Cohen ผู้กำกับ The Fast and the Furious ภาคแรกได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ว่า แรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้ ได้มาจากคอลัมน์ที่ชื่อ Racer X ในนิตยสาร VIBE ฉบับพฤษภาคม 1998 ที่เล่าถึงเรื่องราวของการแข่งรถบนท้องถนนที่อัดสปีดกันในระยะ ¼ ไมล์ หรือที่เรียกว่า Drag Race นั่นเอง

ใครที่สนใจอ่านคอลัมน์ดังกล่าว สามารถจิ้มไปที่ตรงนี้ได้เลย เราเปิดวาร์ปให้แล้ว >>  https://www.vibe.com/features/editorial/racer-x-rafael-estevez-kenneth-li-fast-and-furious-inspiration-may-1998-336369/

Michelle Rodriguez และ Jordana Brewster ไม่มีใบขับขี่รถยนต์ก่อนที่จะมาถ่ายทำ The Fast and the Furious ภาคแรก

เชื่อว่าใครหลายๆ คนคงคิดว่า คนที่เล่นหนังเกี่ยวกับรถ ก็น่าจะขับรถเป็นหรือมีใบขับขี่กันอยู่แล้ว ยกเว้น มิเชลล์ โรดริเกรซ และ จอร์ดานา บรูสเตอร์ สองสาวตัวละครหลักของ The Fast and the Furious ที่ในตอนนั้น ไม่มีใบขับขี่ก่อนที่จะมาถ่ายทำหนังเรื่องนี้! 

ซึ่งทั้งคู่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการขับรถมากซักเท่าไหร่ (อย่างน้อยๆ บรูสเตอร์ในตอนนั้นก็อายุเพียง 20 ปี) ทำให้ทั้งคู่ต้องมาเรียนรู้วิธีการขับรถแนวสตั๊นท์เพื่อสำหรับถ่ายทำ และเมื่อถ่ายทำเสร็จ มิเชลล์ก็ได้แต่บ่นกระปอดกระแปดกับทีมงานว่า “พวกเค้าไม่ยอมให้พวกเราขับเกิน 80 ไมล์ต่อชั่วโมง!” 

Mark Wahlberg, Christian Bale และ Eminem เคยถูกทาบทามให้รับบท Brian O’Conner

ก่อนหน้าที่ Paul Walker ได้รับบท Brian O’Conner ไป เคยมีดารา ศิลปิน นักร้องที่เคยถูกทาบทามในบทนี้ด้วย ซึ่งก็คือ มาร์ค วอล์เบิร์ก, คริสเตียน เบล, และเอมิเนม ซึ่งทั้ง 3 คนเกือบจะได้เล่นแล้ว เพียงแต่ว่าคิวการถ่ายดันไม่เอื้อเนี่ยสิ จึงทำให้บทนี้ตกเป็นของ Paul Walker ไปโดยปริยาย

ในฉากการแข่งขันครั้งแรกที่ Brian O’Conner ชนะในภาคสอง Paul Walker เป็นคนขับ Powerslide ในหนังเอง

ด้วยความที่ Paul Walker มีความชื่นชอบเกี่ยวกับรถยนต์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ในหนังภาคสองอย่าง 2Fast 2Furious พอลก็ได้โชว์ฝีไม้ลายมือในการเข้าเส้นชัยด้วยท่า Powerslide ที่สไลด์ให้ด้านข้างของรถมาหยุดที่กล้องและยิ้ม 1 ที

แน่นอนว่าฉากดังกล่าวถือว่าเป็นอีกฉากที่ทำให้ทุกคนหลงรักนายพอลขึ้นเป็นกองเลยล่ะ (อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกว่า อิตานี้ทำไมมันเท่จังวะ แน่ๆ 55)

2 Fast 2 Furious เป็นภาคเดียวที่ไม่มี Vin Diesel แสดง

ถ้าไม่นับหนังสั้นเล็กๆ ที่ฉายเชื่อมโยงระหว่างภาค พี่ใหญ่ของเฟรนไชส์อย่าง Vin Diesel แทบจะปรากฎตัวออกมาให้เห็นทุกภาค ยกเว้นภาคที่สอง 2Fast 2Furious ที่พี่แกไม่ได้มาให้เห็น

สาเหตุดังกล่าวคือในตอนนั้นวินได้รับข้อเสนอกับหนังแอ็คชั่นโคตรเฟี้ยวอย่าง xXx (ทริปเปิ้ลเอ็กซ์) โดยที่ Rob Cohen ผู้กำกับ The Fast and the Furious มาคุมหลังกล้องในกับหนังเรื่องนี้ ทำให้ทุกคนอดเจอดอมในภาคต่อไปนั่นเอง

บทรับเชิญที่ Vin Diesel ไปออกในช่วงท้ายของภาค Tokyo Drift เกิดขึ้นได้เพราะข้อตกลงที่วินเสนอทางค่ายหนัง Universal ไว้ว่า จะกลับมาถ้าให้เขาทำหนัง Riddick ภาค 3

(ต่อจากภาพที่แล้ว) แน่นอนว่าค่ายหนังอย่าง Universal ก็รู้สึกว่าอยากให้ดอมกลับมาในเฟรนไชส์อีกครั้ง ด้วยการเสนอให้ Vin Diesel โผล่ในหนังภาคที่สาม Tokyo Drift ที่มารับบทรับเชิญพิเศษที่มาเซอร์ไพรส์แฟนหนังในช่วงท้าย

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้วินกลับมาอีกครั้ง มาจากข้อเสนอที่ทางวินยื่นให้กับทาง Universal Studio ว่า เขาไปเป็นรับเชิญให้ได้นะ แต่ทางค่ายต้องให้ผมทำ Riddick ภาคที่ 3 

และแน่นอน ข้อตกลงเป็นอันบรรลุผล เราได้เห็นวินในบท Riddick อีกครั้งและทำให้ได้เห็นพี่แกเอารถมัสเซิลไปแข่งดริฟท์อีก และฉากนี้ใครจะไปรู้ว่าเป็น 1 ในจุดเชื่อมต่อให้กับหนังภาคที่ 7 ด้วย

จริงๆ แล้วฮานรอดตายจากรถระเบิดเพราะขโมยจักรยานคนจีนแล้วขี่หนีออกมา

ใครจะไปเชื่อว่าจริงๆ แล้ว ฮาน รอดตายจากระเบิดนานแล้วนะ เพราะข่าวนี้ยืนยันได้จากคลิป “Car Discussion with Sung Kang – Special Guest JUSTIN LIN” รายการที่ Sung Kang ดาราผู้รับบทฮานได้ทำคลิปสัมภาษณ์ต่างๆ นานา ไว้ และแน่นอนว่าเรื่องที่ฮานรอดตายก็มาจากเขาคนนี้เนี่ยแหละ

แต่ก่อนจะไปดูคลิป ก็อยากจะบอกว่า ในย่อหน้าข้างบนก็อย่าไปเชื่ออะไรมากล่ะ เพราะจริงๆ แล้วมันก็คือการแสดงน่ะแหละ เนอะ 😀

Fast & Furious (ภาค 4) เป็นหนังเดบิวต์เรื่องแรกของ Gal Gadot

สาวน้อยมหัศจรรย์อย่าง Gal Gadot ที่เปิดตัวได้อย่างสวยงามในบท จีเซล จาก Fast & Furious 4 ทำให้เธอได้มาต่ออีกครั้งใน 2 ภาคที่เหลือ ก่อนที่สุดท้ายจะจบบทด้วยซีนเรียกน้ำตาใน Fast & Furious 6 นั่นเอง

และแน่นอนว่าในภาคที่ 9 อาจจะมีสิทธิได้เจอเธอกลับมาอีกครั้งนึงก็เป็นได้ เพราะขนาดเลตตี้ รถระเบิด หนีออกมาทันแล้วทำให้ความเสื่อม หรือ อยู่ดีๆ ฮานก็กลับมาได้ เพราะงั้นอะไรก็ขึ้นได้ ใครจะรู้อะเนอะ

FunFacts อีกนิดนึง : คนที่พาเลตตี้ไปรักษาโรงพยาบาลก็คือจีเซล เพียงแต่ว่าฟุตนี้ถูกตัดออกและไปอยู่ใน Bonus Features 

ชื่อจริงของ Han คือ Han Seoul-Oh ปรากฎครั้งแรกใน Fast Five

อีกหนึ่งความลับของจักรวาลที่ถูกเปิดเผยใน Fast Five นั่นก็คือเรื่องของชื่อจริงของตัวละครอย่าง ฮาน ว่าคืออะไร จนกระทั่งมีฉากที่เห็นชื่อของชาวแก็งอยู่บนจอ และ 1 ในนั้นก็คือ ฮาน โซล-โอ นั่นเอง โดยชื่อมีหลายคนคิดว่า น่าจะเป็นล้อชื่อของ Han Solo จาก Star Wars ก็เป็นไปได้นะเออ

Michelle Rodriguez เซอร์ไพรส์ที่รู้ว่า Letty จะกลับมาในภาค 6 หลังจากที่ดูภาค 5 จบ

หลังจากสิ้นประโยค “คุณเชื่อเรื่องผีมั้ย” ของโมนิกา ฟูเอนเตสที่พูดกับฮอบส์ในช่วง End Credit ก็ทำให้ใครหลายๆ คนเซอร์ไพรส์กันแน่ๆ แม้กระทั่ง มิเชลล์ โรดริเกรซ ก็เป็นอีกคนที่รู้ว่า “เอ๊าาา ตัวเองรอดตายมาเฉยเลยเรอะน่ะ” เช่นเดียวกับคนดูนั่นเอง

Fast 6 เคยถูกวางแผนไว้ว่าจะแบ่งเป็น 2 ภาค โดยภาคแรกจะจบที่ฉากรถถัง และภาคหลังจะจบที่ฉากรันเวย์

จัสติน ลิน ผู้กำกับหนังในภาคที่ 6 ก่อนที่จะเว้นช่วงเพื่อไปรับงานกำกับเรื่อง เคยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ว่า เค้าเคยต้องการจับภาคที่ 6 แยกออกมาเป็น 2 ภาค โดยภาคต้นจะไปจบที่ซีนรถถัง และภาคที่ 2 ก็จะจบที่รันเวย์

18.37 ไมล์ส หรือ 29.6 กิโลเมตรคือระยะทางขั้นต่ำโดยประมาณของรันเวย์ในฉากสุดท้ายของ Fast & Furious 6 ที่ทาง BBC คำนวณไว้

ด้วยความเนิร์ดจริง BBC ได้ลองคำนวณฉากสุดท้ายของ Fast and Furious ที่สู้กันบนรันเวย์ โดยที่เมื่อนวนแล้วพบว่า ระยะทางรันเวย์ที่เกิดขึ้นในนั่ง ที่ถูกคำนวนโดยใช้ค่าความเร็วของรถในหนังมาคำนวณกับเวลาของซีนนี้ พบว่า ระยะที่ได้(อย่างน้อย) คือ 18.37 ไมล์ หรือ เกือบ 30 กิโลเมตร ถือว่ายาวทีสุดในโลก(ภาพยนตร์) เป็นที่เรียบร้อยยยย

ปีที่ฉายเฟรนไชส์ Fast & Furious มักจะตรงกับปีที่เฟรนไชส์ X-Men ฉายเกือบทุกครั้ง (ยกเว้นภาคแรก และ Fast7 ที่เลื่อนฉายไป 1 ปีหลังจากเกิดเหตุการณ์ของ Paul Walker)

ในปีๆ นึง ภาพยนตร์ได้ถูกสร้างขึ้นมากันหลายร้อยเรื่อง รวมถึงการฉายของแต่ละเรื่อง โดยความน่าสังเกตอย่างหนึ่งที่ได้เจอหลังจากค้นหาข้อมูล นั่นก็คือหนัง Fast & Furious นั่น มักจะฉายปีเดียวกันกับที่มี X-Men ภาคใหม่ๆ ออกมา ซึ่งเป็นแทบจะทุกภาคเลย

แต่ก็จะมีแค่ 2 ภาคเท่านั้นที่จะไม่ตรงกับวันที่ฉาย X-Men นั่นก็คือภาคแรกสุด และภาค 7 ซึ่งภาคที่ 7 อย่างที่เราทราบคือเกิดเหตุช็อคแฟน Fast กัน ทำให้ตัวหนังถูกเลื่อนออกไปอีกปีเพื่อแก้ไขปัญหา และสร้างออกมาให้เสร็จเพื่อที่จะอุทิศให้กับ Paul Walker ผู้ซึ่งล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้วนั่นเอง

นอกจาก จา พนม ที่แสดงในภาค 7 แล้ว ดอน ธีระธาดา เคยเป็นสตั๊นท์แมน ในภาค Tokyo Drift ด้วย

ถ้าให้พูดถึงนักแสดงไทยที่น่าจดจำใน Fast & Furious แล้ว ก็หนีไม่พ้นกับ จา พนม ที่ได้มีโอกาสแสดงเป็นตัวร้ายในภาคนี้ แต่รู้หรือไม่ว่า ดอน ธีระธาดา ก็เป็นอีกคนที่มีประสบการณ์เป็นสตั๊นท์แมนให้กับหนังภาค Tokyo Drift อีกด้วย

นอกจากนักแสดงแล้ว ใน Fast & Furious 9 ก็มีฉากที่ยกกองมาถ่ายทำกันในประเทศไทยด้วย เพราะฉะนั้น ภาคนี้จะให้พลาดได้ยังไงล่ะ

The Fate of the Furious หรือ Fast 8 ถือเป็นหนังระดับ Blockbuster เรื่องที่ 3 ต่อจาก A View to a Kill (1985)  และ Lara Croft: Tomb Raider (2001) ที่ได้มาถ่ายทำที่ Iceland และเป็นเรื่องแรกนับตั้งแต่ปี 1950s ที่มาถ่ายทำที่ Cuba

ความพีคของภาค 8 นอกจากจะเสกให้ชาวแก็งของดอมได้เจอกับเรือดำน้ำยักษ์แล้ว Fast ภาคนี้ได้ทำสถิติ เป็นหนังเรื่องที่ 3 ต่อจาก A View to a Kill หนังเจมส์ บอนด์ที่ฉายในปี 1985 และ Lara Croft: Tomb Raider ในปี 2001 นั่นเอง

นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ทีมงานได้ยกกองถ่ายไปถ่ายกันถึงคิวบาเพื่อถ่ายฉากซีนเปิดด้วย

Fast & Furious 9 จะเป็นภาคที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่สร้างเฟรนไชน์สนี้ขึ้นมา ด้วยเวลา 145 นาที หรือ 2 ชั่วโมงกับอีก 25 นาที

The Fast Saga บอกเลยว่าใครชอบกินน้ำกินป็อปอาจจะต้องระวังๆ นิดนึง เพราะ Fast & Furious ภาคที่ 9 ภาคนี้จะเป็นภาคที่มีระยะเวลาในการรับชมนานที่สุดถึง 145 นาที หรือ 2 ชั่วโมงกับอีก 25 นาที เพราะงั้นบาลานซ์ของกินกับอารมณ์คนที่ดูให้ได้ล่ะ!

นอกจากภาคหลัก Fast & Furious มี Spin-off ด้วยกัน 2 เรื่องคือ ภาค Hobbs & Shaw และแอนิเมชันภาค Spy Racers

ด้วยความที่ภาคหลักโดดดังเป็นพลุแตก ก็ถึงเวลาที่จะขยายจักรวาลให้กว้างขึ้นไปอีก ด้วย Spin-off จากจักรวาล Fast นั่นก็คือ ภาค Hobbs & Shaw ที่ทั้งคู่ต้องมาช่วยกู้โลกด้วยกันอีกครั้ง

และแอนิเมชันอย่าง Fast & Furious: Spy Racers ที่พูดถึงกลุ่มเด็กที่ต้องค่อยไปแต่ละประเทศเพื่อทำภารกิจต่างๆ โดยแอนิเมชันเรื่องนี้ ได้ Vin Diesel มาพากย์เป็นตัวเองในตอนแรกของซีซั่นนั่นเอองงงงงง

นอกจากนั้นยังมีเกมชื่อ Fast & Furious : Crossroads ที่ถูกยกให้เป็นเกมยอดแย่แห่งปี

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ Fast & Furious เคยทำเกมออกมาให้ทุกคนได้เล่นกันในชื่อ Fast & Furious: Crossroads ซึ่งตัวเกมได้รับความนิยมสวนทางกับคำชมเลยทีเดียว เรียกง่ายๆ ว่า หลายคนออกมาด่าเพราะว่ามันไม่สนุกแถมยังกินสเปคเครื่องไปอีกกก ให้ดิ้นตาย

ชื่อหนัง Fast & Furious ที่เข้าฉายในญี่ปุ่น ใช้ชื่อว่า Wild Speed ( ワイルド・スピード )

ถ้าใครชอบหนังก็อาจจะรู้เรื่องของชื่อหนังที่ฉายไปในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศชื่อดังที่ใครหลายๆ คนอยากไปอยู่ด้วยก็คือ ประเทศญี่ปุ่น

ซึ่งสาเหตุที่เปลี่ยนชื่อก็คือ ชาวญี่ปุ่นอ่านคำว่า Fast & Furious ไม่ค่อยได้ ก็เลยขอเปลี่ยนเป็น Wild Speed นั่นเอง และเมื่อไปไล่ดูพบว่า Fast & Furious ที่ฉายที่ญี่ปุ่นมีชื่อภาคที่ไม่เหมือนอีกด้วย โดยล่าสุด ภาค 9 นั่น ทางญี่ปุ่นเปลี่ยนชื่อหนังเป็น Wild Speed : Jet Break นั่นเองจ้า

——-

อ้างอิง mentalfloss , yahoo bbc , vibe , moviefone , comicbook ,

Writer Profile : buubae
กราฟิกออนไลน์ฝึกหัดที่ผันตัวมาจากสื่อสิ่งพิมพ์ หน้ามึนตลอดเวลา และจะติดเกมตลอดไป เอ้อีเยอีเย~
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save