บางครั้งคุณตั้งเป้าหมายเอาไว้เรียบร้อย แต่ก็ผัดวันประกันพรุ่ง บางครั้งคุณเขียนรายการสิ่งที่ต้องทำเอาไว้เสียดิบดี แต่ก็ไม่ทำตามที่ตั้งใจเอาไว้สักข้อ และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปัญหาคืออะไรกันแน่? ทำไมเราถึงคิดสิ่งที่ดีให้กับตัวเองได้ แต่ไม่ลงมือทำให้สำเร็จ และผัดผ่อนมันเรื่อยไป? คราวนี้ลองมาสังเกตชีวิตที่ Productive กันบ้าง… รูปแบบชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าอารมณ์ จริงอยู่ที่เราไม่สามารถปฏิเสธอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ และเมื่อความเป็นเหตุเป็นผลต้องแข่งกันกับอารมณ์เมื่อไหร่ ก็มักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่ทุกทีไป การจัดการกับอารมณ์จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณมีชีวิตที่ Productive มากขึ้นได้ แต่จะบอกลาความผัดวันประกันพรุ่งอย่างไรได้นั้น ลองกระตุ้นตัวเองด้วย 6 แนวคิดนี้ที่รับรองว่าเวิร์คสุด! มองโลกในแง่ดี เชื่อไหมว่าเวลาที่เราผัดวันประกันพรุ่งมากที่สุด คือเวลาที่เราอารมณ์ไม่ดี งานวิจัยชิ้นหนึ่งรายงานว่า ความสุขช่วยทำให้ชีวิต Productive และทำให้คนเราประสบความสำเร็จมากขึ้น กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตมีความสุขหรืออารมณ์ดีขึ้นได้ ก็คือ ‘การเป็นคนมองโลกในแง่ดี’ แม้บางครั้งอาจจะทำให้อยู่ห่างจากความเป็นจริงไปบ้าง แต่การสร้างภาพดีๆ ในหัวก็เป็นการดีอยู่เหมือนกัน เช่น การเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น นอกจากจะทำให้ชีวิต Productive แล้ว ยังช่วยพัฒนาการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิผลมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่อ้างว่า บางครั้งการเป็นคนหลอกตัวเอง ก็ช่วยลดระดับความเครียด เพิ่มขีดความอดทนกับความเจ็บปวด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มแรงจูงใจและประสิทธิผลในระหว่างการแข่งขันอีกด้วยซ้ำไป หรือแม้กระทั่งคู่รัก ที่มักจะมองคู่ของตนว่ายอดเยี่ยมกว่าความเป็นจริงที่พวกเขาเป็น และนั่นก็เป็นคุณสมบัติอันดับต้นๆ ที่คุณควรจะมองหาในคู่ชีวิต เพื่อส่งความเชื่อมั่นให้แก่กันและกัน ให้รางวัลตัวเอง แน่นอนว่าการได้รางวัลช่วยทำให้รู้สึกดี และการได้รับโทษทำให้รู้สึกแย่ แต่ทั้งสองอย่างมีอิทธิพลต่อการสร้างพฤติกรรมที่ดีให้เกิดขึ้นได้ และยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ‘รางวัล’ เป็นแรงกระตุ้นอย่างดีถึงสามในสี่ที่ทำให้คนตัดสินใจลงมือทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น คุณมีงานชิ้นสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จภายในสามวัน คุณอาจจะตั้งกติกาไว้ว่า ให้เพื่อนเก็บเงินของคุณเอาไว้สองพันบาท หากคุณทำสำเร็จ คุณจะได้เงินคืน แต่ถ้าหากคุณทำไม่สำเร็จ เพื่อนจะนำเงินของคุณไปบริจาคให้กับผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา สิ่งสำคัญคือ คุณไม่สามารถพูดได้ว่า ฉันจะจ่ายเงินสองพันบาทถ้าส่งงานชิ้นนี้ไม่ทันเวลา เพราะคุณต้องยอมให้เพื่อนเก็บเงินของคุณเอาไว้ตั้งแต่แรก! ดังนั้นถ้าอยากได้เงินคืน ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม Ed Hallowell (เอ็ด ฮัลโลเวลล์) ศาสตราจารย์ จาก Harvard Medical School และนักเขียนเจ้าของผลงานขายดีที่มีชื่อว่า Driven to Distraction กล่าวว่า “เรากำลังสร้างวัฒนธรรมการเพิ่ม” ให้ลองสังเกตดูรอบตัวจะเห็นว่าชีวิตของเราเต็มไปด้วยสิ่งล่อใจมากมาย และสิ่งเหล่านั้นก็เข้าถึงเราได้ง่ายขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ดังนั้นการขังตัวเองอยู่ที่ไหนสักที เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนจึงอาจเป็นคำตอบที่ดี เพราะช่วยทำให้คุณมีสมาธิหรือจดจ่อกับงานหรือสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็มีงานศึกษาหลายชิ้นที่แสดงถึงวิธีการที่ง่ายและทรงพลังที่สุด นั่นก็คือ การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ บุคคลระดับซีอีโอ ที่มักถูกรบกวนการทำงานทุกๆ ยี่สิบนาที ส่วนใหญ่พวกเขาเหล่านั้นมักจะตื่นเช้า และทำงานที่บ้านเป็นเวลาประมาณ 90 นาที ก่อนออกมาทำงานที่ออฟฟิศ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจากลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน และเพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับงานได้อย่างเต็มที่นั่นเอง ใกล้ชิดกับคนที่คุณอยากจะเป็น ชาร์ลส ดิวฮิกก์ (Charles Duhigg) นักเขียน เจ้าของงานเขียนที่มีชื่อว่า The Power of Habit: Why We Do What We do in Life and Business กล่าวว่า เมื่อคนเลือกเข้ากลุ่มที่ดูมีแนวโน้มที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้วบุคคลกลุ่มนั้นมักจะสำเร็จและทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นได้จริง นอกจากนี้โปรเจคที่ศึกษาเกี่ยวกับคนอายุยืนกว่า 1,000 ราย ยังมีรายงานอีกด้วยว่า กลุ่มคนที่เรามักเข้าไปสัมพันธ์ด้วย มักจะทำให้เรากลายเป็นคนแบบนั้น ดังนั้นสำหรับคนที่อยากจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น เมื่อได้ข้องเกี่ยวกับกลุ่มคนที่มีสุขภาพดี จึงนำไปสู่หนทางในการเปลี่ยนแปลงได้โดยตรง รวมถึง คาลิน ฟลอร่า (Carlin Flora) เจ้าของหนังสือ Friendfluence ก็ยืนยันถึงงานวิจัยในประเด็นนี้ โดยกล่าวว่า หากเรานำตัวของเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่มีเป้าหมายสูงๆ เพื่อตัวเอง คุณก็จะได้รับสัมผัสของความจริงจังนั้นเข้ามาอยู่ในตัวด้วย ออกแบบตารางชีวิต มันจะรู้สึกดีขนาดไหน ถ้าในแต่ละวันคุณรู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของคุณเอง ลองออกแบบตารางชีวิตให้เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด อาจจะดูทางการ ดูเป็นส่วนตัว หรืออาจจะดูแปลกแหวกแนวขนาดไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร ส่วนใหญ่คนที่ Productive มักจะมีตารางชีวิตกันแทบทุกคน แม้พวกเขามักจะตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำสิ่งเหล่านั้นให้เสร็จตามเป้าหมายได้อย่างไรก็ตามที เมื่อคุณออกแบบระบบชีวิตให้กับตัวเองได้อย่างเหมาะสมที่สุดแล้ว คราวนี้ทุกอย่างก็จะดำเนินไปตามอัตโนมัติ และมักจะสังเกตได้จากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ พวกเขามักมีกิจวัตรหรือมีตารางชีวิตที่ชัดเจน ส่วนใหญ่มักตื่นเช้า ทำงานช่วงเช้า และเก็บเวลาช่วงเย็นเอาไว้สำหรับพักผ่อนหรือสังสรรค์จริงๆ เท่านั้น มักไม่ค่อยทำงานข้ามวันข้ามคืน เป็นต้น ขอบคุณชีวิต การแสดงความขอบคุณต่อสิ่งดีๆ ที่คุณมีในชีวิต เป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นความสุขที่ทรงพลังที่สุด ทุกคืนก่อนเข้านอนให้คุณเขียนสิ่งดีๆ 3 อย่าง ที่เกิดขึ้นกับคุณในวันนั้น อย่าฝึกให้สมองจดจำแต่เรื่องที่ไม่ดี แต่ควรฝึกให้สมองมองเห็นสิ่งที่ดีงาม เพราะนอกจากจะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาความสัมพันธ์ของคุณ ทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้นได้ และยังทำให้ชีวิตของบุคคลอื่นรอบตัวคุณดีขึ้นได้ด้วย เพราะการแสดงความขอบคุณ เป็นการฝึกให้คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีได้อีกทางหนึ่ง คุณอาจจะนึกขอบคุณเหตุการณ์ที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นในวันนั้น ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้สักอย่าง เกิดความกระตือรือร้นที่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ เพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น และแน่นอนว่าการแสดงความขอบคุณต่อสิ่งดีๆ ในแต่ละวันก่อนนอนนั้น ยังเป็นการช่วยปรับอารมณ์ และส่งต่อให้คุณอยู่ในอารมณ์ที่ดีตั้งแต่ก่อนนอนจนถึงเช้าในวันรุ่งขึ้น เพื่อ To-Do List ของคุณที่ไม่ต้องศูนย์เปล่า เป็นอีกหนึ่งวันที่ Productive ได้ดั่งใจ ที่มา: (bakadesuyo.com), (time.com), Driven to Distraction (2011) by Edward M. Hallowell, M.D. and John J. Ratey, M.D., The Power of Habit: Why We Do What We do in Life and Business (2014) by Charles Duhigg, Friendfluence (2013) by Carlin Flora
