ตอนนี้ใครขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส จะเห็นใบหน้าหล่อๆของจุงกิ และใบหน้าสวยๆของมิว นิษฐา ยืนยิ้มน่ารัก >w< ตามป้ายโฆษณาต่างๆของบีทีเอส พร้อมกับคำว่า “11street” ซึ่งแท้จริงแล้วคือช็อปออนไลน์น้องใหม่จากเกาหลีนั่นเองค่า แต่เอ๊ะ! ทำไมช็อปออนไลน์เจ้านี้เขาถึงจัดหนักจัดเต็มกับโฆษณาบนบีทีเอสมาก จนหลายคนแอบบ่นอุบ Mango Zero มีคำตอบค่ะ 1.ทุ่มงบโฆษณาจัดเต็ม 300 ล้านบาท ตามที่เห็นโฆษณาแบบจัดว่าเล่นใหญ่ทั้งบนสื่อออนไลน์และออฟไลน์ โดยเฉพาะบนบีทีเอส ที่ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนของสถานีก็จะเจอซง จุงกิ ซุปตาร์จากเกาหลี และมิว นิษฐา ซุปตาร์จากไทยยืนยิ้มพร้อมโลโก้แบรนด์นี้ ซึ่งผู้บริหารอีเลฟเว่นสตรีท เปิดเผยว่า เขาได้ทุ่มงบแคมเปญการตลาดและโฆษณาไปทั้งหมด 300 ล้านบาทเลยค่ะ และที่จัดหนักจัดเต็มบนบีทีเอสเป็นพิเศษ เพราะต้องการสร้างความสนใจและให้คนไทยคุ้นชินกับแบรนด์ แถมบอกด้วยอีกว่า ทำแบบนี้ได้ผลตอบรับดีคนรู้จักแบรนด์เยอะขึ้น ตามขั้นบันได จุงกิยังแอบมาส่งยิ้มให้เลย จะไปพร้อมพงษ์ หรือพร้อมจุงกิดีนะ >< 2.ส่งจุงกิสามีแห่งชาติจากเกาหลีเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพราะความดังความฮอต! ความเป็นสามีที่ฟีเวอร์ข้ามประเทศแบบนี้ ทำให้อีเลฟเว่นสตรีทตัดสินใจเลือกซง จุงกิมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งที่เกาหลีเขาคือดาราเบอร์หนึ่งและเป็นตัวแทนอีคอมเมิร์ซของที่นั้นด้วยเช่นกันค่ะ และยังมีอีกหนึ่งสาวสวย ซุปตาร์ของไทย มิว นิษฐา ที่อีเลฟเว่นสตรีทมองว่าเธอมีบุคคลน่ารักสดใส และเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปจึงชวนเธอมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วยอีกคนค่ะ ซึ่งภายในงบโฆษณา 300 ล้านบาทนี่รวมค่าตัวของซง จุงกิและมิว นิษฐาเรียบร้อยแล้วนะ 3. ค่ายมือถือเกาหลีขอปั้นแบรนด์ช็อปออนไลน์ขยายตลาดไทย อีเลฟสตรีทแท้จริงแล้วเป็นแบรนด์บริษัทลูกของ เอสเค เทเลคอม ค่ายมือถืออันดับ 1 ของเกาหลีนั้นเองค่า ซึ่งเขาได้ขยายบริการไปยังหลายประเทศ ทั้งตรุกี มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย โดยเขามองว่าคนไทยเล่นมือถือกันเยอะมาก และหันมาซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะขายธุรกิจมาที่ไทย 4. มีสินค้าให้เลือกช็อปกว่า 3 ล้านชิ้น อีเลฟเว่นสตรีทเพิ่งเปิดให้นักช็อปออนไลน์ที่ไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมปีที่ผ่านมาค่ะ ด้วยระยะเวลาไม่นานตอนนี้มีของขายในเว็บกว่า 3 ล้านชิ้นแล้ว และฟันยอดขายไป 200 ล้านบาทแล้วค่า ซึ่งจะแบ่งเป็น 8 หมวดหมู่ มีทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ไฟฟ้า สุขภาพและความงาม เด็กและทารก กีฬา ของใช้ในบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงอี-วอเชอร์และหนังสือด้วยค่ะ 5.ใครๆก็มาเปิดร้านขายได้นะ ที่นี่เขาประกาศเลยว่าเป็นโอเพิ่นมาร์เก็ตเพลส เปิดโอกาสให้คนที่อยากขายออนไลน์ก็มาเปิดหน้าร้านผ่านอีเลฟเว่นสตรีทได้เลย จะมีให้เลือกว่าเป็นผู้ขายแบบบุคคลธรรมดา ผู้ขายชั้นธุรกิจ และผู้ขายทั่วโลก พร้อมกับแนบเอกสารยืนยัน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพแอบแฝงมา ซึ่งระบบชำระเงินและหน้าร้านต่างๆก็จะเป็นระบบของอีเลฟเว่นสตรีมคอยจัดการ 6.สั่งสินค้าจากเกาหลีได้ด้วยนะ อย่างที่บอกค่ะว่า อีเลฟเว่นสตรีทเป็นช็อปออนไลน์จากเกาหลี ฉะนั้นใครที่อยากได้สินค้าจากเกาหลี ก็สามารถสั่งได้จากเว็บนี้เลยนะคะ ซึ่งราคาจะเป็นเงินบาทไทยที่น่าจะบวกมาเรียบร้อยแล้ว และต้องใช้เวลารอมาสั่งนิดนึง เพราะบางชิ้นคือพรีออเดอร์มาจากเกาหลีเลย 7.มีทั้งเว็บและแอพให้ช็อปตามสะดวก ด้วยความที่เป็นช็อปออนไลน์ ที่ต้องช็อปง่ายและสะดวก จะมีทั้งเว็บไซต์และแอพมาให้เลือกช็อป หน้าเว็บไซต์ จะคล้ายๆกับเว็บช็อปออนไลน์ทั่วไปเลยค่ะ มีหมวดหมู่ของสินค้ามาให้เลือก และโปรโมชั่นลดราคาที่ล่อเงินในกระเป๋ามาชวนซื้อ ส่วนในแอพก็เช่นกันเลยค่ะ รูปภาพสินค้าใหญ่ เลือกดูง่าย และมีปุ่มกดสั่งซื้อเด่นมากกก ประหนึ่งว่าพร้อมเชิญชวนให้กดสั่งซื้อทันทีเลย สรุป : คล้ายๆกับช็อปออนไลน์ทั่วไปเลยค่ะ ราคาไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ถึงจะลดแล้วก็ตาม มีสินค้าจากเกาหลีมาให้เลือกเยอะ นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ดึงคนที่อยากช็อปสินค้าเกาหลีได้ ระยะเวลาจัดส่งขึ้นอยู่กับสินค้าค่ะ ถ้าสินค้ามีสต็อกในไทยก็ภายใน 3 วัน แต่ถ้าพรีออเดอร์มาก็เป็นสัปดาห์เลยค่ะ ราคาจัดส่งมีทั้งฟรีและไม่ฟรีค่ะ และผู้ซื้อเลือกได้ว่าจะจัดส่งผ่าน kerry express หรือไปรษณีย์ไทย ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่ชอบช็อปออนไลน์ค่ะ ได้ลองดูเปรียบเทียบราคา หาของที่ถูกใจ จะได้คุ้มค่ากับเงินในกระเป๋าด้วยนะ