งาน DAAT day 2017 ที่ผ่านมา เราได้รับฟังเนื้อหาดีๆ จากคนในวงการดิจิทัล ทั้งด้านมีเดีย ด้านเทคโนโลยี รวมถึงแนวคิดด้านครีเอทีฟ แต่นอกเหนือจากเรื่องดิจิทัลแล้ว ยังมีอีกหนึ่ง Speaker ที่เมื่อขึ้นเวทีมาก็ออกตัวก่อนเลยว่า “สิ่งที่ผมพูดจะเป็นอนาล็อคมากๆ เลยนะครับ” และคนๆ นั้นก็คือป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อมนั่นเอง ในเวทีนี้ป๋าเต็ดมาเล่าเบื้องหลังก่อนจะเกิดผลงานคอนเสิร์ตต่างๆ ที่ป๋าเคยทำมาทั้งชีวิต ซึ่งเมื่อฟังจบคนฟังจะพบว่าจริงๆ แล้ว วิธีการคิดงานในแบบอนาล็อคและดิจิทัล มันไม่ได้หนีห่างกันเลย เราต่างคิดงานบนพื้นฐานเดียวกัน นั่นก็คือมนุษย์ หรือคนที่เสพสิ่งที่เรานำเสนอไปนั่นเอง ก่อนจะเล่า ป๋าเต็ดบอกพวกเราว่า “แต่ละงานที่คิดที่ทำมา เริ่มจากศูนย์เสมอ ไม่เคยทำงานโดยใช้สูตรหรือทำงานซ้ำเดิม..เพราะขี้ลืม (ป๋าเต็ดพูดติดตลก) แต่เมื่อป๋าเต็ดได้ลองย้อนกลับไปก็พบว่าทุกงานมันมีสูตรบางอย่างที่พ้องกันอยู่” 1. จุดเริ่มต้นเส้นทางอีเวนต์ครั้งแรก (อายุ 6-7 ขวบ) งานแรกที่ป๋าเต็ดได้ทำก็คือการติดตามพ่อที่ทำอาชีพขับรถใน “หนังขายยา” หนังขายยา* คือรถที่จะขับไปตามพื้นที่ต่างๆ และขนอุปกรณ์สำหรับการฉายหนังกลางแปลง เรียกง่ายๆ ว่าหนังกลางแปลงเคลื่อนที่นั่นเอง แต่ความพิเศษคือจะมีการหยุดฉายหนังเป็นช่วงๆ เพื่อออกมาขายยา ซึ่งสำหรับพ่อป๋าเต็ด คือการขายยาหม่องตราถ้วยทอง จาก ‘หนังขายยา’ เลยทำให้ป๋าเต็ดได้เรียนรู้ว่า เวลาไปจัดหนังกลางแปลงแต่ละหมู่บ้านจะขำไปกับมุกต่างๆ กัน บางหมู่บ้านอาจขำกับเรื่องนี้ บางหมู่บ้านอาจขำกับอีกเรื่อง ซึ่งก็สามารถแทนหมู่บ้านต่างๆ เป็นเหมือนกลุ่มเป้าหมายที่มีนิสัย หรือพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป ..เริ่มเห็นภาพตามแล้วใช่ไหม ว่าแนวคิดทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานเดียวกันเลย ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกเป็นอนาล็อคหรือดิจิทัล 🙂 2. Hotwave Music Awards เมื่อ 20 ปีก่อนการประกวดวงดนตรีต่างกับในสมัยนี้มาก ในเทศกาลประกวดจะมีเวที, มีใบสมัคร, มีคนมาสมัคร แล้วก็มีกรรมการตัดสิน นั่นคือครบกระบวนการจัดการประกวด แต่ป๋าเต็ดก็เกิดคำถามกับตัวเอง ว่าแล้วทำไมเราจะต้องเชียร์วงที่เราไม่รู้จักด้วย? คนที่มาเชียร์วงประกวดก็มีแต่คนรู้จักเท่านั้น เหมือนจัดมาดูกันเอง แล้วจะทำยังไงให้มีคนมาดูเพิ่มขึ้นล่ะ? หลังจากเกิดคำถามขึ้น ป๋าก็ได้ไปดูการแข่งฟุตบอลในงานจตุรมิตรสามัคคี เป็นงานที่ประกอบด้วยโรงเรียนสวนกุหลาบ, เทพศิรินทร์, อัสสัมชัญ และกรุงเทพคริสเตียน จัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี ป๋าเต็ดพบว่าถึงตัวเองจะเรียนจบไปนานแล้ว แต่เลือดโรงเรียนยังอยู่และยังอยากเชียร์ให้ทีมโรงเรียนที่ตัวเองจบมาชนะ ไม่ต่างกับที่เราเชียร์ทีมแมนยู หรือลิเวอร์พูลเลย ‘Hotwave Music Awards’ จึงเป็นการประกวดที่มีไอเดียว่า วงแต่ละวงต้องเป็นสมาชิกที่เรียนอยู่สถาบันเดียวกัน และถ้าใส่เครื่องแบบโรงเรียนตัวเองมาประกวดได้จะน่ารักมาก ทำให้การประกวด Hotwave มีบรรยากาศคึกคัก มีแฟนๆ รุ่นพี่รุ่นน้องจากโรงเรียนเดียวกันมาเชียร์ เกิดเป็นการประกวดดนตรีที่แหวกออกมาในยุคนั้น 3. Fat Festival หลังลาออกจาก Hotwave มา ป๋าเต็ดก็ได้ตั้งคลื่นวิทยุของตัวเองในชื่อ Fat Radio คลื่นสำหรับคอเพลงอินดี้ และถือเป็นการปฏิวัติคลื่นวิทยุของไทยในสมัยนั้นเลย แต่ปัญหาก็คือช่วงแรกๆ คลื่นยังขาดทุนอยู่ จนป๋าเต็ดคิดว่าถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เราอาจเจ๊งได้ ขณะเดียวกันป๋าเต็ดก็มั่นใจว่าคลื่นเรามีคนฟังอยู่แน่ๆ แต่ไม่สามารถหาตัวเลขที่ชัดเจนไปบอกกับเอเจนซี่ที่สนับสนุนได้ ‘Fat Festival’ จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นคำตอบและข้อพิสูจน์ว่าคนที่ฟัง Fat Radio มีอยู่จริงๆ เพราะเมื่องานเริ่มผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้ามาในงาน เกิดการจับจ่ายซื้อซีดีและของที่ระลึกจากศิลปินที่เขาติดตาม ซึ่งเอเจนซี่ก็ได้รับเชิญให้มาในงานเช่นกัน และได้เห็นภาพเดียวกับป๋าเต็ดว่าคนฟังนั้นมีอยู่เยอะจริงๆ โดยสถานที่จัด Fat Festival ครั้งแรกคือโกดังยาสูบเก่า ที่ไม่ติดรถไฟฟ้าอะไรเลย ถือว่าคนที่มานี่ต้องตั้งใจมาจริงๆ งานเล็กๆ ครั้งนี้มีผลต่อวงการเพลงมากๆ วงดนตรีอินดี้เฉพาะกลุ่มก็เติบโตจากเทศกาลนี้จนกลายเป็นวงยอดนิยม เช่นวง Groove Riders เป็นต้น 4. Big Mountain Big Mountain จริงๆ แล้วเกิดจากที่ป๋าเต็ดอยากจัดคอนเสิร์ตให้กับ ‘ลุลา’ ศิลปินที่ยังหน้าใหม่ในสมัยนั้น ขณะที่เทศกาลดนตรีอาจจะเฟื่องฟู มีการจัดหลากหลายงาน แต่ทุกๆ งานกลับมีไลน์อัพศิลปินที่เหมือนๆ กันหมด แล้วจะทำยังไงให้ศิลปินใหม่ๆ ได้ขึ้นเวทีบ้าง? ป๋าเต็ดเลยคิดเทศกาลดนตรีขึ้นมา โดยมีเงื่อนไขว่า ‘จะต้องมีศิลปินมากขึ้น’ จึงเกิดเงื่อนไขอื่นๆ ตามมาดังนี้ เมื่อศิลปินที่รวมมามีเยอะขึ้น ก็ต้องมีหลายเวที เมื่อมีหลายเวที จะให้เสียงแต่ละวงไม่ตีกัน ก็ต้องจัดในสถานที่กว้างขึ้น แต่กรุงเทพไม่มีสถานที่ที่ใหญ่ขนาดนั้น จึงต้องมองหาสถานที่ที่คนกรุงเทพ (ที่คิดว่าเป็น target) เดินทางไปได้ในระยะ 2 ชั่วโมง จึงเหลือออกมาเป็นจังหวัดต่างๆ และสุดท้ายตกลงที่ ‘เขาใหญ่’ และงานก็จัดออกมาแบบที่ป๋าเต็ดต้องอุทานว่า ‘มันใหญ่มาก’ นี่จึงเป็นที่มาของชื่องานนี้ แต่ถามว่าจนถึงทุกวันนี้ป๋าเต็ดได้จัดคอนเสิร์ตให้ลุลาหรือยัง..คำตอบก็คือ ‘ยังจ้า’ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นต้นกำเนิดของเฟสติวัลในตำนานของไทยเลย 5. คอนเสิร์ต พาราด็อกซ์ ผงาดง้ำค้ำโลก โดดไม่รู้ล้ม ป๋าเต็ดได้โจทย์มาว่าต้องจัดคอนเสิร์ต โดยมีเวลาเตรียมงานแค่ 1 เดือนเท่านั้น เพราะศิลปินที่ตกลงกันไว้ไม่สามารถขึ้นเล่นได้แล้ว และสถานที่ก็จองไปแล้ว ถ้ายกเลิกก็จะเสียเงินค่ามัดจำเป็นล้านบาท จึงมี 2 ทางเลือกว่าจะยอมเสียเงินจำนวนนั้นไป หรือจะดิ้นรนจัดคอนเสิร์ตขึ้นมาให้ได้..ซึ่งป๋าเต็ดเลือกอย่างหลัง ศิลปินที่ป๋าเต็ดนึกถึงคือ Paradox เพราะฐานแฟนที่เหนียวแน่น และการแสดงของวงที่เอ็นเตอร์เทนแฟนเพลงได้อยู่หมัด และยังสนิทสนมกันดีน่าจะร่วมงานได้ง่ายและเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดในข้อจำกัดนี้ แต่ถ้ายึดตามสไตล์ของวง บัตรจะต้องไม่แพง (900 บาท) ของที่ระลึกจะต้องมาเต็ม (กางเกงในสกรีนคำว่าพาราด็อกซ์) วันขายบัตรที่ตึกแกรมมี่ มีสิทธิพิเศษให้คนซื้อสามารถได้เจอกับศิลปินตัวเป็นๆ..ปรากฏว่าบัตรขายไปกว่าครึ่งตั้งแต่วันแรก แต่ถึงจะโล่งใจแล้วว่าไม่ขาดทุนแน่ๆ แต่อีกความท้าทายก็คือป๋าเต็ดต้องตกแต่งเวทีด้วยงบที่จำกัดมากๆ ระหว่างหาไอเดียได้ตามไปดูโชว์ของวง และพบว่าวงนี้แจกตุ๊กตาเป่าลมให้กับแฟนๆ เยอะมาก ซึ่งศิลปินก็บอกว่า ‘มันถูกมากเลยพี่ ตัวละ 25 บาทเท่านั้น’..จึงเกิดเป็นไอเดียการจัดเวทีที่แปลก อยู่ในงบ และออกมาสวยที่สุดเวทีหนึ่งเลย (จนถึงทุกวันนี้หลายๆ คนก็ยังจดจำกันได้) ซึ่งก็คือเวทีที่ประดับด้วยตุ๊กตาเป่าลมนั่นเอง “POSSIBILITY within the CONTEXT” หลังจากที่คิดว่าตัวเองเริ่มงานจากศูนย์และไม่มีสูตรมาโดยตลอด เมื่อป๋าเต็ดได้มีโอกาสคุยกับคุณด้วง-ดวงฤทธิ์ บุนนาค ก็เกิดความคิดใหม่..’จริงๆ แล้วทุกงานที่เราทำมันมีสูตรอะไรบางอย่างนี่หว่า’ ป๋าย้อนคิดว่าทุกงานที่ทำออกมา มีกระบวนการคิดที่ง่ายที่สุดและใช้เป็นประจำ คือการเข้าใจบริบทก่อน แล้วหาความเป็นไปได้ในงานนั้นๆ เห็นข้อจำกัดว่าต้องจัดคอนเสิร์ตใน 1 เดือน > มองหาความเป็นไปได้ อยากจัดคอนเสิร์ตให้ศิลปินหน้าใหม่ > มองหาความเป็นไปได้ อยากเห็นจำนวนที่ชัดเจนของคนฟังคลื่นวิทยุ > มองหาความเป็นไปได้ อยากจัดเวทีประกวดที่ใครๆ ก็มาเชียร์กันได้ > มองหาความเป็นไปได้ หรือจะแปลเป็นภาษาคนในวงการเอเจนซี่ก็คือ เราต้องโฟกัสกับบริบท หรือบรีฟที่ได้มาเยอะๆ แล้วเมื่อเราโฟกัสมันมากพอ ความเป็นไปได้มันจะเกิดขึ้นเอง