category สัมภาษณ์พิเศษ : 'แสตมป์ อภิวัชร์' เปิดความคิดกับชีวิต 10 ปีในวงการเพลงไทยที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป

Writer : Sam Ponsan

: 27 มีนาคม 2561

interview-stamp-apiwat-cover

ทันทีที่เราบอกกับน้องๆ ในออฟฟิศว่าจะไปสัมภาษณ์ ‘แสตมป์ – อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข’ น้องๆ ต่างยกมือขอติดสอยห้อยตามเพื่อให้ได้ไปเจอกับผู้ชายคนนี้ด้วย แค่ไปยกขากล้อง หรือยกขาไฟก็ยังดี เพราะทุกคนกรี๊ดแสตมป์ มาก เราเองก็ไม่แปลกใจที่ทำไมหลายคนถึงชื่นชอบในตัวเขา 

เพราะถ้านับนิ้วย้อนกลับไปสมัยที่แสตมป์ ยังทำอัลบั้มกับเพื่อนๆ ในนามวง 7 Scene เราเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาในฐานะศิลปินวงใหม่เอี่ยมของค่าย LOVEiS เราเห็นแววความน่าสนใจของแสตมป์ ตั้งแต่วันนั้น ทั้งนิสัยและผลงาน เราไม่ได้คิดเอาเอง แต่คนอื่นๆ ก็มองแสตมป์ ด้วยสายตาเดียวกับเรา

10 ปีผ่านไปแสตมป์ เติบโตขึ้นมากทั้งในแง่ของการทำงาน รวมไปถึงชีวิตจากที่เคยเป็นศิลปินวัยรุ่น วันนี้เขากลายเป็นศิลปินที่ยังคงวัยรุ่นอยู่แต่แค่อายุเพิ่มขึ้นเป็น 35 ปี  แสตมป์ มีหน้าที่หลากหลายมากขึ้นทั้งเป็นนักร้อง (ที่เพิ่งปล่อยเพลงใหม่ของตัวเองในชื่อ  ‘ร้อยล้านวิว’) เป็นนักแต่งเพลง (ที่ล่าสุดแต่งเพลง ‘พริบตา’ ให้พี่เบิร์ด ธงชัย ในโปรเจกต์ Bird Mini Marathon Project)

เป็นผู้บริหารค่ายเพลงเล็กๆ ชื่อ 12sumrecords (ที่มีศิลปินในการดูแล 2 คน) และเป็นสามีที่มีภรรยาให้ดูแล (แต่เขาบอกว่าทุกวันนี้ภรรยาดูแลเขามากกว่า) การได้สนทนากับเขาอีกครั้งในวันนี้ทำให้เราเห็นการเติบโตของแสตมป์บนเส้นทางสายดนตรีชัดเจนขึ้นจริงๆ ในวันที่โลกของวงการเพลงเปลี่ยนไป

ช่วงนี้เห็นว่าคิวเยอะงานยุ่งทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้หลักๆ เราก็เล่นดนตรีทำเพลงใหม่ๆ มีทำรายการอยู่บ้าง แล้วก็ทำค่ายเพลง จังหวะชีวิตผมตอนนี้ก็ประมาณนี้แหละครับ

พอมาทำค่ายเพลงเอง เป็นศิลปินแล้วก็เป็นผู้บริหารค่ายด้วย ชีวิตสบายขึ้นกว่าเดิมหรือว่ายุ่งหนักกว่าเดิมไหม

ชีวิตผมไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ แต่ชีวิตเมียผมเปลี่ยนไป เมียผมเหนื่อยขึ้น (หัวเราะ) ส่วนผมยังเป็นศิลปินเหมือนเดิม ผมว่าชีวิตมันคล้ายเดิมนะเพราะว่าผมก็เป็นคนที่ทำงานเองมาเยอะตั้งแต่แรกแล้ว ที่เพิ่มเติมขึ้นคือพอเราได้ทำอะไรเยอะขึ้น เราก็ชอบคิดนู่นคิดนี่เองเยอะขึ้นไปอีก

ที่งานมันเยอะขึ้นก็เพราะอาการคันของผมเองครับ (หัวเราะ) ไม่ทำก็ไม่ได้ด้วย อย่างโปรเจกต์ทำเพลงขายต่างประเทศ (อัลบั้ม STH เมื่อปี 2560) มันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยภาระหน้าที่ แต่เกิดขึ้นเพราะว่าเราเป็นอิสระ ก็เลยอยากทำอะไรเยอะขึ้น

มันเหมือนกับชีวิตปลดล็อค

ใช่ กลายเป็นว่าเหมือนเราเรียนจบจากโรงเรียนปุ๊บก็เป็นอิสระอยากทำนู่นนี่เต็มไปหมด มันเหมือนผมกลับไปเดินตามความฝันตอนเด็กๆ อีกรอบนึงที่อยากจะเป็นศิลปินแต่อยากทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยทำ เราเป็นเจ้านายตัวเอง 100% น่ะ สิ่งที่เราจะทำเราสั่งตัวเองแล้วเราก็ดันเป็นคนสั่งซะหนักเชียว (หัวเราะ) 

interview-stamp-apiwat-10

การที่ต้องมาเป็นคนที่ผลักดันคนอื่นต้องดูแลคนอื่นด้วย คุณรู้สึกยังไงบ้าง

ตอนนี้ก็เรามีศิลปินในมืออยู่ 2 คน (เอ็ม – ยศวัศ สิทธิวงค์ และ ปัง – วัชรพงศ์ ตันเต็ก) สำหรับตัวผมยังไม่เหนื่อยมากเกินไปยังสนุกกับค่ายเพลงและตื่นเต้นกับการได้เห็นฝีมือของน้องที่พัฒนาขึ้น แต่จะตื่นเต้นมากกว่านี้ไปเรื่อยๆ ถ้าเห็นน้องสำเร็จในวงกว้าง ความรู้สึกนี้เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราทำงานต่อไป ถามว่ามันหนักขึ้นไหมก็ไม่ได้หนักขนาดนั้นและเป็นช่วงชีวิตที่สนุกดี 

ถ้าจะเหนื่อยมากๆ น่าจะเป็นตอนที่ค่ายมีปัญหาจุกจิก เช่นดีลกับลูกค้าแล้วมีปัญหาเป็นเรื่องพวกนั้นมากกว่า ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้เราวุ่นวาย แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นเราไม่มีคนมาจัดการชีวิตให้ต้องจัดการเองอย่างค่ายนี้ผมก็ทำมาปีกว่าๆ แล้วจริงๆ บริษัทที่ตั้งมาเพื่อทำค่ายตั้งเอาไว้สองปีแล้ว แต่ค่ายเพิ่งจะแค่ปีกว่าๆ 

ใครมาช่วยคุณบริหารจัดการเรื่องภายในค่ายอีกบ้าง

ภรรยาผมล้วนๆ ภรรยาผมเป็นคนที่ดูแลเรื่องธุรกิจตรงนี้เก่งมาก

คุณเลยยังมีพื้นที่สบายๆ อยู่บ้าง

ผมน่ะสบาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าความเปลี่ยนแปลงเดียวที่ผมไม่ชอบเลยก็คือภรรยาผมทำงานและเครียดขึ้น มันไม่ติงต๊องด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนที่เราคุยกันแต่เรื่องปัญญาอ่อนก็กลายเป็นว่าต้องมาคุยกันว่าเดือนนี้เราต้องทำอย่างนี้ๆ คุยเรื่องตัวเลข คุยว่าปัญหานี้เกิดต้องทำยังไง ซึ่งก็คงเป็นแค่เรื่องเดียวที่อยากให้มันเบาลง นอกนั้นก็มีความสุขดี

interview-stamp-apiwat-2

1 ปีที่ผ่านมาเรียนรู้กับอะไรบ้างกับการทำค่ายเพลงเหมือนอย่างที่คิดฝันไว้ไหม

เราได้เรียนรู้เรื่องการลองผิดลองถูกครับ อย่างตัวผมมันเลยผ่านช่วงที่เป็นศิลปินใหม่มา 10 ปีแล้ววันนี้เราก็มาทำงานให้น้อง ผลักดันน้องๆ ต่อ สมมติเราบอกให้น้องมันทำเพลงแบบนี้ แล้วพอเพลงออกมาเรากลับรู้สึกว่าเออ…น่าจะทำกับเขาอีกแบบนึง มันก็ยังลองผิดลองถูกอยู่ว่าวิธีไหนจะเหมาะกับเรา อาจไม่ใช่วิถีที่ค่ายใหญ่ทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียนรู้อยู่

อย่างปีที่ผ่านมาเราก็ทำสิ่งที่ตามใจตัวเองสุดๆ เช่นทำอัลบั้มภาษาอังกฤษ หรือว่าออกเพลงน้องๆ ที่แบบค่อนข้างตามใจมาก ก็เลยรู้สึกว่ามันสนุกนะตอนทำ แต่ปีนี้ก็มีเป้าหมายว่าแบบถ้าน้องๆ ไปถึงผู้คน ถ้าเพลงภาษาอังกฤษของเราไปถึงผู้คนมากกว่านี้ก็คงจะดี มันกลายเป็นว่าพอทำตามใจตัวเองอย่างเดียวแล้วมันเหมือนทุกวันนี้สิ่งที่เราทำคืองานอดิเรกที่อยากให้เป็นงานอดิเรกที่มันเลี้ยงชีพได้ด้วย

แล้วงานประจำที่ทำอยู่ทุกวันนี้คืออะไร

ตอนนี้ไม่มีงานประจำ (หัวเราะ) 

จะบอกว่าทุกอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้คืองานอดิเรกทั้งหมด

ใช่ งานอดิเรกหมดเลย อย่างปีที่แล้วเราทำงานอดิเรกสุดๆ ไม่สนใจอะไรเลยแต่สนุกมีความสุขมากเลย อย่างปีที่แล้วก็ไปทัวร์ญี่ปุ่นมาเยอะด้วย แทบไม่มีอะไรให้เลี้ยงชีพเลยครับ (หัวเราะ) เลยคิดว่าปีนี้อยากจะให้งานอดิเรกมันเป็นงานประจำได้มากขึ้น เพราะว่ายังอยากทำต่อไปเรื่อยๆ

interview-stamp-apiwat-4

แผนที่บอกว่าจะทำในปีนี้คืออะไร

ปีนี้คิดว่าจะทำอัลบั้มเพลงไทยแล้วเพราะคิดว่ามันจะเลี้ยงชีพได้มากขึ้น (หัวเราะ) แต่ก็ยังทำเพลงอังกฤษอยู่ด้วยมันคงจะขนานกันไป คิดว่าจะทำเพลงไทยเป็นงานอดิเรกที่เลี้ยงชีพได้ แล้วก็เพลงภาษาอังกฤษเป็นงานอดิเรกที่เลี้ยงชีพไม่ได้คู่กัน

โปรเจกต์ล่าสุดที่ทำงานร่วมกับพี่เบิร์ด นี่ก็ถือว่าเป็นแผนในปีนี้หรือเปล่า 

โปรเจกต์นี้เริ่มเมื่อปีที่แล้วครับ เริ่มจากที่พี่อ๊อฟ BigAss (พูนศักดิ์ จตุระบุล) บอกว่ามีโปรเจกต์พี่เบิร์ด อยากจะให้มาช่วยทำเพลงคอนเซปต์คือเป็นมินิมาราธอนมีสเตจ 8 สเตจ ตอนนั้นพี่ตูนยังไม่ได้วิ่งเลยนะ (หัวเราะ) เขาอยากให้ทุกคนที่ชวนมาร่วมโปรเจกต์นี้แต่งเพลงในแต่ละช่วงสเตจให้พี่เบิร์ด

เบื้องหลังเพลง ‘พริบตา’ ได้มายังไง

พี่อ๊อฟให้คีย์เวิร์ดมาคือ ‘สิ้นหวัง’ ผมเดาเอาว่าเขาคงเกรงใจผมเลยให้โจทย์สิ้นหวังว่าซึ่งมันน่าจะง่ายที่สุด (หัวเราะ) แต่ผมเก็บคีย์เวิร์ดนี้แล้วดองไว้นานมาก แต่งเพลงก็ไม่ออกสักที เพราะเราคิดไม่ออก เพราะว่าเราคิดภาพพี่เบิร์ด สิ้นหวังอยู่ แต่เพลงพี่เบิร์ดพอผมมานั่งคิดดีๆ เขาไม่เคยสิ้นหวังเลยอ่ะ ไม่เคยมีเพลงแบบชีวิตนี้จะไม่ทำอะไรแล้วฉันจะร้องไห้อย่างเดียว ไม่มีเลยนะ ทุกเพลงถึงแม้จะเป็นเพลงช้าทุกอย่างแม่งเท่มาก เลยคิดว่าการสิ้นหวังหมดเรี่ยวแรงคงไม่ใช่พี่เบิร์ดแล้วล่ะ

ก็บังเอิญตอนนั้นได้ไปดูหนังเรื่อง Your Name ก็เกิดแรงบันดาลใจว่าถ้าเอาเรื่องดาวตกมาผสมกับความสิ้นหวังมันดูเป็นพี่เบิร์ดเลยนะ เพราะว่ามันโรแมนติกแล้วเวลาที่คนเราอธิษฐานขอพรจากดาวตก มันเป็นภาพที่ดูสว่างแต่จริงๆ มันสิ้นหวังนะ ซึ่งผมรู้สึกว่านี่แหล่ะสิ้นหวังของพี่เบิร์ด สิ้นหวังแต่มันยังมีความหวังอยู่ข้างใน เลยจะแต่งเพลงเรื่องดาวตก ตอนแรกตั้งชื่อเพลงว่าทุกครั้งที่ดาวตก” เนื่องจากในเรื่อง Your Name มีฉากหนึ่งคือในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกับดาวตก แต่พระเอกกับนางเอกวิ่งหากันไม่ได้ดูไม่ได้สนใจ

ก็เลยคิดว่าถ้าเรามีเพลงที่เล่าว่าในขณะที่ทุกคนกำลังมองฟ้าดูดาวตก แต่ฉันกำลังก้มหน้าอยู่นี่เป็นคีย์เวิร์ดสั้นๆ ที่ผมคิด ก็เลยเป็นเพลงนี้แต่พอแต่งออกมาแล้วทางทีมงานบอกไม่ชอบคำว่าดาวตกเลยอ่ะ เพราะว่าพี่เบิร์ดเขาเป็นดาวเหมือนกำลังจะตกมันเป็นลางไม่ดี ทีมงานก็เลยเปลี่ยนเป็นพริบตา

interview-stamp-apiwat-3

เราได้ยินเสียงแสตมป์ในเพลงนี้น้อยมากเพราะอะไร

ตอนแรกผมไม่รู้ว่าผมต้องร้องด้วยคิดว่าแต่งเพลงอย่างเดียว ตอนหลังพี่อ๊อฟมาบอกว่าแต่งเสร็จแล้ว ทำเดโมเสร็จแล้วก็ร้องด้วยนะ ผมก็โห้ว…ไม่รู้ว่าจะแทรกตรงไหน เขาเลยเติมโอ้ๆๆ เติมท่อนกลางเข้าไป ตอนแรกคือไม่รู้เลยไม่ได้ออกแบบไว้ให้เราได้ร้องด้วย (หัวเราะ) 

คุณก็เคยแต่งเพลง ‘น้ำตา’ ให้พี่เบิร์ดมาแล้ว พอได้มาร่วมโปรเจกต์นี้ความรู้สึกต่างกันไหม 

ตอนแต่งเพลง ‘น้ำตา’ ก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ประมาณว่าเราก็เป็นคนเบื้องหลังคนหนึ่งซึ่งได้โอกาสที่ดี พอมาเป็นเพลง ‘พริบตา’ นี่เรารู้สึกดีใจที่พี่อ๊อฟเลือก ดีใจที่เขาเห็นเรา พอเพลงออกมาฟีดแบคดีมาก

ก็ดีใจที่เพลงสไตล์เรามันสามารถไปถึงแฟนเพลงพี่เบิร์ดได้ ดีใจที่เขาเปิดใจ เพราะว่าตอนแรกที่แต่งออกมาผมก็นั่งฟังกับแฟนยังคุยกันอยู่เลยว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่เราสื่อไหมวะ ก็ยังกังวลกันอยู่ แต่พอเพลงออกมาแล้วเขาเข้าใจก็เลยโล่งใจ

ได้คุยกับพี่เบิร์ดไหม

มาได้คุยช่วงถ่ายเอ็มวี ช่วงที่ถ่ายปก แต่ตอนทำเพลงได้คุยแต่พี่อ๊อฟอย่างเดียว ก็เจอพี่เบิร์ดเพราะมาช่วยถ่ายเอ็มวี เป็นครั้งแรกเลยที่ได้คุยกับพี่เบิร์ด อยู่ในวงการมา 13 -14 ปีเนี่ยก็จะเจอพี่เบิร์ดตามงานประกาศรางวัล

สำหรับผมก็อยู่มานานจนลืมการตื่นเต้นไปแล้วอ่ะ พอเจอพี่เบิร์ดผมก็ว้าว! จำได้ที่ประทับใจมากคือพี่เบิร์ดเขารู้จักเรา ไม่ได้แปลว่าเราดังนะ แปลว่าเขาไปศึกษามา

เขารู้จักเราเพราะเขาไปนั่งดูวิกิพีเดีย เขาทำการบ้านมาเยอะมากก่อนมาเจอเรา ซึ่งมันยิ่งใหญ่สำหรับเราวันที่ผมถ่ายเอ็มวีตอนนั้นเจอกันครั้งแรก พี่เบิร์ดไปเที่ยวญี่ปุ่นมาแล้วก็ซื้อของฝากมาเป็นตุ๊กตาไม้รูปหมี เขาซื้อมาแจกให้พวกเราทุกคน 8 วง

ผมเปิดมามันกลายเป็นว่าตุ๊กตาที่เขาซื้อมามีคาแรคเตอร์เราอยู่ในนั้นผมเป็นหมีใส่ชุดมาริโอ้ หรือของ นะ Polycat (รัตน จันทร์ประสิทธิ์)  เป็นหมีในชุดซามูไรที่เขาชอบ ก็ประทับใจในความใส่ใจ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนที่เขาจะต้องเจอตลอดทุกวัน แต่เขาใส่ใจเรามาก เลยอยากจะเก็บสิ่งนั้นน่ะมาใช้

interview-stamp-apiwat-6

พี่เบิร์ดตัวจริงเป็นคนยังไง 

ผมว่าเขาพลังเยอะ พลังเยอะคือไม่ว่าเขาเหนื่อยจากข้างในแต่ว่าเขาไม่แสดงออกว่าเขาเหนื่อยเลย ผมว่าใจเขาใหญ่มาก

ได้คุยนอกเรื่องบ้างไหม

ก็พี่เบิร์ดเล่าประสบการณ์ตัวเองเพื่อสอนเรา เป็นสิ่งที่เราได้เห็นว่าคนอายุจะ 60 แบบพี่เบิร์ดยังสนุกกับงานขนาดนี้เรานี่ต้องสู้ดิวะ

ชอบอะไรในเพลงพริบตามากที่สุด

สิ่งที่ผมชอบก็คืออย่างที่คุณถามผมแหละว่ามันแทบไม่มีเสียงผมเลย แต่คนจดจำได้ว่านี่คือเราฟังแล้วรู้เลยว่าเป็นแสตมป์ แต่งแค่นี้สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ คนจำได้โดยที่ไม่ต้องฟังเสียงเรา นั่นแปลว่าสิ่งที่เราทำมามันดีว่ะ สำหรับผมมันเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ของคนทำงาน

ทำเพลงยุคนี้ให้เกิดและให้ดังยากมากขึ้นกว่าเดิมแค่ไหนเมื่อเทียบกับ 10 ก่อนที่คุณทำ 7 Scene

สำหรับผมคิดว่าปีที่ผ่านมาวงการเพลงไทยคึกคักที่สุดในรอบ 10 ปีเลยเพราะปีที่ผ่านมาช่องทางในการฟังเพลงเติบโตขึ้นในบ้านเรามี JOOX Aple Music Sptify นี่คือสัญญาณว่าวงการเพลงกลับมาแต่ถ้า พอคึกคักแล้วแล้วก็จะมีศิลปินเทพๆ เกิดขึ้นมาด้วยอย่าง UrboyTJ , The TOYs หรืออะตอม

มันแบบโคตรเจ๋งเลย แล้ว mass ด้วยปีนี้น่าจะคึกคักเป็นอีกปีติดต่อกัน แต่ที่นี้ผมว่าปัญหาที่ศิลปินเจอก็คือว่าทำยังไงให้คนได้ยินเพลงเราเพราะว่าวิทยุมันอาจจะไม่ใช่สื่อหลักอีกแล้ว ทีวีก็ไม่มีรายการเพลงแล้ว มีแต่รายการประกวดร้องเพลง แล้วเพลงที่มีมหาศาลจะทะลุไปถึงคนฟังได้ยังไง

interview-stamp-apiwat-8

แล้วการทำเพลงที่ง่ายขึ้น มีศิลปินเยอะขึ้นจะทำยังไงให้แตกต่าง

มันก็เป็นความเหนื่อยยากของศิลปินยุคใหม่ แต่มันมีข้อดีที่ว่ายุคนี้เราสามารถสร้างฐานแฟนได้เองโดยที่ไม่ต้องไปกินส่วนแบ่งกับวิทยุเขา เมื่อก่อนเพลงจะเป็นที่รู้จักก็ต้องแบบถูกเปิดทั้งวันจนทุกคนร้องได้ ซึ่งตอนนี้กำแพงนั้นมันไม่มีแล้ว

ยุคนี้แต่ละคนทำเพลงออกมาแล้วได้ร้อยล้านสามร้อยล้านวิวเราอาจไม่รู้จักเลยก็ได้เพราะเขาไม่ได้อยู่ในสื่อหลัก แต่ก็มีคนให้ความสนใจเขามหาศาลเพราะยุคนี้มันง่ายขึ้นที่จะสร้างฐานแฟนเพลงของตัวเอง เขาสามารถมีสังคมของเขาได้โดยที่ไม่ต้องใช้สื่อที่เป็นสาธารณะเพื่อผลักดันผลงานอย่างในอดีต  มันกลายเป็นว่าทุกคนมีสื่อของตัวเองแต่มันก็ยากที่ว่าทำยังไงให้ทุกคนมาดูสื่อเรา

อีกมุมมองนึงคือทุกคนก็เท่าเทียมกัน

ถูกต้อง เหมือนล้มยักษ์เลยเท่ากับว่าใครชอบใครก็ไปดูทีวีช่องนั้น เมื่อก่อนต้องใช้พลังทีมเยอะมากต้องมีแขนขาออกไปวิทยุ ออกไปรายการทีวี มอบดอกไม้ เยี่ยมแท่นพิมพ์ สมัยก่อนมันเป็นอย่างนั้นเลย เพื่อที่จะเอาเพลงเราไปสู่สื่อที่เป็นสาธารณะให้ทุกคนได้ยิน

แล้วกับศิลปินที่อยู่มานานล่ะทำงานง่ายขึ้นไหมเพราะก็มีคนรู้จักอยู่แล้ว

มันก็ไม่เสมอไปนะ มันอาจง่ายขึ้นในแง่ของการที่เราไม่ต้องมาอธิบายให้คนที่เขาเลือกเราไปทำงานด้วย สำหรับผมก็ผมพยายามจะใช้สิ่งที่ผมมีตรงนี้ช่วยน้องๆอยู่ เป็นสิ่งที่เราช่วยน้องได้

interview-stamp-apiwat-7

ในฐานะที่เป็นศิลปินรุ่นพี่อยากจะแนะนำศิลปินรุ่นใหม่ไหม

เด็กรุ่นนี้เก่งมากนะ และผมอาจจะไม่รู้ตลาดใหม่ๆ เท่าน้องด้วยซ้ำ ผมว่ายุคนี้กับตอนผมเข้ามามันคนละโลกกันเลย ผมว่าพวกเราอยู่ในช่วงที่ประวัติศาสตร์มันเปลี่ยนที่สุด การเข้ามาของโซเชียลมีเดียเปลี่ยนมนุษย์แบบสุดๆ เลย ทำให้ผมก็ไม่กล้าที่จะเอา Know how เก่าไปสอนเขา ผมเปรียบเป็นเรื่องทั่วไปนะสมัยก่อนผมเชื่อว่าพ่อแม่สอนเราแล้วมันมีผล เราเชื่อว่าถ้าทำตามผู้ใหญ่แล้วมันมีผลนะ

แต่โลกที่เรากำลังจะอยู่ต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้า ผมคิดว่ามันต่างกันตรงที่เราไม่รู้จะแนะนำอะไรเขาได้เลย มันเหมือนเรากำลังจะไปสอนมนุษย์ต่างดาวเลย เหมือนเขาอยู่ดาวอีกดวง สิ่งที่เขาจะเติบโตต่อไป ถ้าถามผมเองก็ให้กำลังใจอย่างเดียว จะเกิดอะไรขึ้นก็สู้ๆ ละกันนะ

ผมต่างหากที่ต้องเรียนจากเขาเพราะว่าเขาอยู่ในโลกนี้ก่อนผมเสียอีก  ผมไม่แน่ใจ Know how โลกเก่ามันใช้ได้ไหม เพราะว่ามันเปลี่ยนสุดๆ มันป็นโลกที่ผมคิดว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาก็ยังกัดอ่ะเพราะว่าไม่รู้ผู้ใหญ่ไปถูกหรือเปล่า

คุณเองก็เหมือนจะเพิ่งเข้ามาโลกใหม่นี้ได้ไม่นาน

(หัวเราะ) ก็มีช่วงนึงที่ผมต้องลองมาดูว่าโลกนี้คืออะไรเพราะเรารู้สึกแบบ…โอ๊ยไม่ไหวแล้ว ตามไม่ทัน ช่างมันเถอะ เราก็หันหลังให้เลย เราดันไปหยิ่งว่ายุคกูเจ๋งกว่า ยุคกูแม่งอนาล็อกมีเสน่ห์ แต่ว่าผมจำได้ พี่อ๊อฟ บิ๊กแอส มาแนะนำว่าให้ลองใช้ดูไม่สนใจแต่ก็ต้องรู้ว่าระบบมันเป็นยังไง มันไม่ใช่เรื่องความชอบไม่ชอบ มันเป็นงาน ตอนนี้ผมก็เลยเข้าใจมากขึ้น

พอได้ลองแล้วเป็นไงโลกใบใหม่

ติดเลยอะ ก็ง่ายดีหาเพลงอะไรฟังมันง่ายมาก (หัวเราะ)

interview-stamp-apiwat=5

ในแง่ของการทำงานคุณปรับตัวกับยุคสมัยใหม่นี้ยังไง 

ก่อนหน้านั้นผมคุยกับพี่กร เวิร์คพอยท์ (ชลกร ปัญญาโฉม) เขามีคำพูดนึงที่น่าสนใจคือคำพูดว่า “คนดูอยู่ที่ไหนเราไปที่นั่น” ซึ่งเออว่ะ มันคือเรื่องนี้เลยอะ คนฟังอยู่ที่ไหนเราไปหาที่นั่น ผมก็เลยเริ่มใช้มันมากขึ้น คนเขาฟังยูทูบ ฟังสตรีมมิ่งก็ต้องลงไป เราคงไม่แบบว่าทำเพลงแล้วให้คนนิดเดียวฟังแล้วเราพอใจ มันก็พอใจนะแต่ว่ามันจะดีมากแค่ไหนถ้าคนได้ฟังงานเราเยอะๆ

จินตนาการออกไหมว่าอีก 10 ปีข้างหน้าวงการเพลงจะเป็นอย่างไร

ยังมีนักร้องเก่งๆ เกิดใหม่เรื่อยๆ แน่นอน ก่อนหน้านั้นมีคนบอกผมตั้งแต่ 10 ปีแล้วนะต่อไปไม่มีศิลปินที่จะดังได้อย่างพี่เบิร์ดแล้วนะ จะไม่มีคนที่ทุกคนรู้จักนะ และทุกคนจะแย่งสื่อกัน แต่ 10 ปีที่ผ่านมาวงการเพลงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าก็เห็นมีศิลปินใหม่ๆ เกิดตลอดเลยทั้งในไทยและต่างประเทศที่สำคัญอาจจะดังกว่าสมัยนั้นอีกเพราะเพลงเข้าถึงทุกคนแล้วอะ

ดังนั้นผมยังคิดว่าวงการเพลงก็ยังคงเหมือนเดิมทั้งในไทยและระดับโลก เพียงแต่มันอาจจะเปลี่ยนแค่รูปแบบไปในการฟังหรือเข้าถึงคนฟัง คนอาจจะเสพย์อะไรมันมีทางปัจเจกของตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ว่าคุณจะฟังเพลงแนวไหนหรืออะไรก็ตาม ท้ายที่สุดคุณต้องเคยได้ยินเพลง Ed Sheeran บางแหละเพราะสื่อมันถึงทุกคนเลย

interview-stamp-apiwat-9

เดี๋ยวนี้มีเวลาเล่นเกมอยู่ไหม

ก็คงไม่ได้มีมากเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนนี้ช่วงปี 2010 – 2011 ผมสามารถเล่นได้ 3 ภาครวดภายใน 2 อาทิตย์ แต่วันนี้เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น

แต่ยังได้เล่นเกมอยู่

ยังได้เล่น ผมว่าการเล่นเกมมันเป็นพลังชีวิตของเด็กผู้ชาย ทำงานเสร็จก็กลับมาเล่นเกมนี่แหละถ้าไม่มีเกมให้เล่น ชีวิตมันก็เหี่ยวเหมือนกันนะยอมพักผ่อนน้อยดีกว่า

อะไรที่มันเยียวยาชีวิตคุณได้บ้างนอกจากเกม

ผมชอบเห็นงานออกมาชอบเห็นเพลงออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ผมชอบปกอัลบั้ม ผมชอบซิงเกิ้ล ผมชอบโปรดักชั่น อาจจะชอบกว่าตัวเพลงอีก สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขก็คือได้เห็นมันเป็นโปรดักส์ออกมาแล้วจับต้องได้

Writer Profile : Sam Ponsan
นักเขียนหนุ่มสุดเท่ที่ชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ ขนาดฝนตกยังยอมขี่รถตากฝนเลยเพราะคิดว่าทำแล้วเท่ งานอดิเรกของเขาคือการไปออกกำลังกายเพราะเชื่อว่าทำแล้วเท่ ปัจจุบันก็ยังชอบทำ Content อะไรเท่ๆ ลงเว็บ Mango Zero ด้วย แหม่...เท่จริงๆ
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

[สัมภาษณ์] BNK48 - ถามปุ๊บ ตอบปั๊บ ถามปั๊บๆ ตอบปุ๊บๆ แบบ Heavy Rotation


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save