ขนกระเป๋าเข้าบ้าน The Zero | รีวิวฉบับเด็กฝึกงาน The Zero Junior #12 🏡✨

Writer : nong bambi

: 1 ธันวาคม 2568

Welcome to The Zero!

ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริษัท The Zero! บริษัทที่พวกเราได้มาฝึกงานในนาม The Zero Junior รุ่นที่ 12 

ก่อนอื่นขอแนะนำบริษัทให้รู้จักกันสักนิดพอกรุบกริบ The Zero เป็นบริษัทสื่อออนไลน์ที่สมาชิกส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น Gen Z ทำให้บรรยากาศในออฟฟิศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง เหมือนอยู่กับเพื่อนพี่น้องมากกว่ามาทำงาน

และด้วยความที่เป็นโฮมออฟฟิศเลยได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่ๆ เยอะมาก ทั้งทำงานด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน และเล่นด้วยกันวนไปอย่างนั้นทุกวัน จนเข้าใจเลยว่าประโยค เราอยู่กันแบบครอบครัว มันเป็นอย่างไร

ออฟฟิศปัจจุบันนี้เพิ่งย้ายมาจากที่เก่าได้ไม่นาน ภาพรวมออฟฟิศเป็นสไตล์คาเฟ่ที่น่ารัก สดใส และคัลเลอร์ฟูลสุดๆ ทั้งห้องทำงาน ห้องพักผ่อน ห้องประชุม และห้องสตูดิโอ แต่สุดท้ายแล้วที่พวกเราชอบที่สุดก็หนีไม่พ้นห้องครัวอยู่ดีล่ะนะ! (เพราะเป็นวัยกำลังโตยังไงเล่า)

We are The Zero Junior #12

ไหนลองมาทำความรู้จักพวกเราทั้ง 4 หน่อกันซะหน่อย!

  1. Bambi (แบมบี้) อายุ 22 ปี มาจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขา EDM มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฝึกงานอยู่ทีม Mango Zero ในตำแหน่ง Creative Content มีคติประจำใจ คือ “ในวันที่ไม่ดี ก็ยังมีหน้าตาเราที่ดีอยู่”
  2. Pound (ปอนด์) อายุ 21 ปี มาจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขา CCA มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฝึกงานอยู่ทีม RainMaker ในตำแหน่ง Creative Content มีคติประจำใจ คือ “แค่ไหนแค่นั้น”
  3. Jeng (เจ๋ง) อายุ 21 ปี มาจากคณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฝึกงานอยู่ทีม Video ในตำแหน่ง Editor มีคติประจำใจ คือ “Don’t Carry The World Upon Your Shoulders”
  4. Mies (ไมล์) อายุ 22 ปี มาจากคณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ดิจิทัล  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ฝึกงานอยู่ทีม Production ในตำแหน่ง Creative มีคติคติประจำใจ คือ “อะไรที่เขาทำได้ ก็ให้เขาทำ”

ฝึกงานที่ The Zero ได้อะไรบ้าง ไหนเล่า!

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มอยากรู้แล้วล่ะสิว่าการฝึกงานที่ The Zero เนี่ย มันได้ทำอะไรบ้าง? เนื่องจากบริษัทมีหลายสื่อในมือทำให้การทำงานค่อนข้างหลากหลายและแตกต่างกันไป อย่างพวกเราทั้ง 4 คนก็เลือกฝึกกันคนละทีม คนละตำแหน่งเลยล่ะ

เราขอเรียกแต่ละทีมว่า “บ้าน” เพื่อเข้าถึงความซิกเนเจอร์ เพราะคาแรกเตอร์แต่ละบ้านต่างกันสุดๆ! ว่าแล้วก็ไปส่องกันหน่อยว่าเด็กฝึกอย่างพวกเราต้องไปทำอะไร และได้อะไรจากบ้านตัวเองบ้าง ถ้าพร้อมแล้วก็ตามไปดูกันเลย ~

  • บ้าน Mango Zero

ต้องเกริ่นก่อนว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ติดตาม Mango Zero มาเกือบๆ 6 ปีได้แล้ว (เพราะเป็นแฟนคลับ BNK48 ยังไงล่ะ) แต่ขอสารภาพตามตรงว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า Mango Zero มันเป็นหนึ่งในทีมของบริษัท The Zero.. ตอนสมัครฝึกงานก็ลุ้นๆ มาก ว่าจะได้ไปอยู่ทีมไหน ถ้าไม่ใช่ Mango Zero คงจะแย่เลย เพราะหัวเรามันมาทางงานที่สนุกๆ มากกว่า แต่สุดท้ายท้ายสุดก็ได้มาอยู่ในทีมแมงโก้ที่ใฝ่ฝัน! เรียกได้ว่าเป็นบริษัทแรกๆ เลยที่เรายื่นมาฝึกงาน ทำให้ดีใจมากๆ เลย 

การที่ได้เข้ามาฝึกงานที่นี่ก็มีอะไรเซอร์ไพรส์เปิดโลกหลายอย่าง อย่างแรกคือเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าการทำงานในออฟฟิศจะมีบรรยากาศผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้านได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทานข้าวร่วมกันพร้อมดูทีวีตอนเที่ยงและเย็น หรือจะมานั่งเล่นเกมมาริโอ้คาร์ทก่อนเลิกงาน ระหว่างวันถ้าเครียดๆ พี่ๆ ก็จะหาอะไรสนุกๆ เล่นกัน ทำให้เราก็สนุกตามไปด้วย อ้อ ชั้น 3 ที่เราทำงานอยู่จะมีพี่ๆ เปิดเพลงให้ฟังตลอดด้วย ก็เปิดสลับกันไปทั้งเพลงเศร้า เพลงเกาหลี เพลงอนิเมะ แม้แต่เพลงหมอลำ…

และถ้าให้พูดถึงทีมที่เราฝึกงานด้วยอย่างทีม Mango Zero ก็เป็นทีมที่น่ารักมากๆ ถึงจะมีกันแค่จึ๋งนึง แต่พี่ๆ ทุกคน เก่งและอึดถึกทนกันมากๆ ยิ่งพี่เลี้ยงของเราคือที่สุดในโลกแล้ว ชีเป็น introvert ที่สามารถสลับสับร่างเป็น extrovert เพื่อทำงานได้ในพริบตา แถมยังทำงานเก่งมากๆๆ เรานี่ถึงกับแอบยกให้เป็นไอดอลในชีวิตอีกคนหนึ่งเลยล่ะ

ส่วนรูทีนในแต่ละวันของการฝึกงานเราคือการเขียนข่าวสไตล์แมงโก้ นอกจากนี้ก็จะมีการคิดและเขียนคอนเทนต์บ้าง มีออกกองถ่ายบ้าง รวมไปถึงการตัดต่อคลิปและทำกราฟิกเล็กๆ น้อยๆ ด้วยแหละ ภาพรวมก็เป็นอะไรที่สนุกดี

ถือว่าตรงโจทย์และเหมาะกับคนที่ขี้เบื่อและชอบเจออะไรใหม่ๆ แบบเรามาก ถึงแม้มันจะค่อนข้างยากสำหรับเรา เพราะมันเป็นสายงานที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนจากสาขาที่เรียนมา ทำให้ต้องเรียนรู้ทุกอย่างจาก 0 เลย แต่ก็ทำให้ได้สกิลกลับมาหลายอย่างแบบว่าเริ่ดเลยล่ะ ทั้งการเขียน การเรียบเรียงความคิด การพูด การจัดการเวลา และอีกเยอะแยะมากๆ รู้สึกคิดไม่ผิดที่ปฏิเสธทุกที่ และเลือกมาฝึกงานที่ The Zero

  • บ้าน RainMaker

ถ้าจะพูดถึงการมาฝึกงานที่ RAiNMaker นั้นต้องเริ่มจากตัวผมก่อน ผมเป็นคนที่รักการเขียน และการอ่านเป็นอย่างมาก ซึ่งจุดประสงค์ที่ผมมาฝึกงานที่นี่เพราะผมต้องการพัฒนาทักษะการเขียนของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น แต่ต้องบอกเลยว่าสิ่งที่ผมได้นั้นมันมากกว่าการเขียนจริงๆ

ในแต่ละวันที่ผมมาฝึกงานผมต้องหาข่าวจากต่างประเทศมาเขียน ซึ่งในช่วงแรกต้องบอกเลยว่ามันเป็นสิ่งที่ยากจริงๆ เพราะผมไม่เคยเขียนข่าวลักษณะนี้มาก่อนเลย ผมยังจำได้ว่าข่าวแรกที่ผมเขียนนั้นใช้เวลาทั้งวันกับการเรียบเรียงเนื้อหาว่าจะเขียนอะไรลงไปดี แต่ก็ยังดีที่มีพี่เลี้ยงช่วยเอาไว้ไม่งั้นงานนั้นคงใช้เวลาเป็นวันแน่ๆ

หลังจากเขียนข่าวเสร็จก็มาในส่วนของการทำคอนเทนต์ โดยพี่ๆ จะมอบหมายให้ผมใช้ไอเดียที่มีอยู่นิดหน่อยในการคิดบทความสำหรับลงเพจ ความสนุกของการทำคอนเทนต์คือเราได้ใส่ไอเดียของตัวเองได้เต็มที่อยากเขียนอะไร อยากเล่าอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับครีเอเตอร์ก็สามารถทำได้เลย

พอเวลาผ่านไปผมได้พัฒนาอะไรหลายอย่างมากมีทั้งสิ่งที่ผมอยากเรียนรู้เอง หรือเป็นโอกาสที่ได้มาในแต่ละวันอย่างเช่นทักษะการเขียนของผมที่พัฒนาอย่างมากได้รู้วิธีการเขียนยังไงให้น่าดึงดูด คำไหนสะกดยังไง และควรเว้นวรรคตรงไหน และวิธีทำงานกับฝ่ายอื่นๆ เช่น การเขียนบรีฟกราฟิก, ทำสคริปต์ตัดต่อวิดีโอ หรือแม้แต่การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของรุ่นในการทำงานซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมไม่รู้จะหาที่ไหนถ้าผมไม่ได้ฝึกงาน

เอาล่ะ มาในส่วน Emotional กันดีกว่าถ้าถามว่าสิ่งที่ผมประทับใจในการฝึกงานคืออะไร ผมคงไม่สามารถบรรยายมันออกมาเป็นรูปร่างได้ เพราะมันคือมวลอะไรสักอย่างที่อยู่ในนี้ มันเป็นบรรยากาศของออฟฟิศที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจ The Zero ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ฝึกงานเท่านั้นแต่ยังเป็นเหมือนบ้าน, สนามเด็กเล่น หรืออะไรสักอย่างที่เราอยู่แล้วสบายใจ

สุดท้ายนี้สำหรับใครที่กำลังหาที่ฝึกงานก็อยากให้มอง The Zero เป็น 1 ในตัวเลือกของทุกคนนะ ผมไม่รู้หรอกว่าออฟฟิศอื่นๆ บรรยากาศเป็นยังไง แต่การมาฝึกงานที่นี่ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนผมได้มาสนุกกับเพื่อนๆ พี่ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง การทำงานที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ พักกลางวันแสนครึกครื้น การพูดคุยที่เต็มไปด้วยความสบายใจทั้งหมดนี้มันทำให้ทุกครั้งที่ผมนึกย้อนไปถึงการฝึกงานที่ RAiNMaker หรือ The Zero Publishing ก็จะพบแต่ความทรงจำที่สวยงาม

  • บ้าน Production 

ในฐานะ Creative ทีม Production ในเดือนแรกทำหน้าที่คิดไอเดีย ทำ Shot List ออกกองบ้าง รู้สึกว่ายากเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการทำงาน ทำให้ช่วงแรกก็จะมีความช้าๆ และเป็นช่วง Work From Home ด้วย เดือนที่สองเริ่มปรับตัวได้ เริ่มเห็นข้อผิดพลาดและไม่ทำผิดซ้ำๆ ทำงานราบรื่นขึ้น เดือนที่สามมีเวลาแค่ 1 อาทิตย์จบไวกว่าเพื่อนนิดหน่อย แต่รู้สึกว่าตัวเองก็ทำได้ดีขึ้นจากวันแรกที่ทุกอย่างใหม่มากๆ 

ระหว่างทางก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง ทั้งเรื่องการมีไอเดียใหม่ๆในหัวอยู่เสมอ ได้คิดหรือมองในมุมคนอ่านมากขึ้น การสื่อสารและมีแผนสำรองสำคัญมาก ในการทำงานก็มีเรื่องน่าประทับใจอยู่นะ ด้วยความที่ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยขอความข่วยเหลือ แต่มีพี่เลี้ยงเราก็ค่อนข้างอ่านคนขาดยิ่งกว่าเมนเทอร์ลูกเกดคอยช่วยเสมอ ก็เลยรู้สึกโชคดีมาก และมีเพื่อนฝึกงานที่บุคลิกหรือความชอบแตกต่างกันมาก ตอนแรกกลัวว่าจะทำงานด้วยกันยากแต่พอทำงานด้วยกันจริงๆ มันทำให้ช่วยเติมเต็มให้โปรเจคเด็กฝึกงานให้ออกมาสมบูรณ์กว่าที่คิดไว้

สุดท้ายสิ่งที่ได้จากการฝึกงานก็คือความรู้สึกว่าที่นี่คือสนามเด็กเล่นสุดท้ายก่อนไปทำงานจริง สังคมที่นี่เป็นกันเองเหมือนทุกคนคือรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนที่สนิทกันหมด มีอะไรขอความช่วยเหลือได้เสมอ อย่ากลัวที่จะถาม (ถึงทุกวันนี้จะไม่ค่อยถามอยู่ดีก็เถอะ) อยากขอบคุณทุกอย่างและทุกคนที่เข้ามาทำให้ได้เห็นจุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง และเอาทุกประสบการณ์มาพัฒนาตัวเองต่อไป

  • บ้าน VDO

หลังจากตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็ทำธุระของตัวเองเสร็จก็ถึงเวลาที่จะต้องไปทำงานที่เรารักในเวลา 10 โมงเช้าคือเวลาที่ทุกคนต้องถึงออฟฟิศโดยประมาณ สิ่งที่ต้องทำในตำแหน่งตัดต่อของเด็กปั้นในบ้าน Zero ก็คือการทำงานที่ค้างไว้จากที่เมื่อวานยังทำไม่เสร็จ ฮ่าๆ แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด เพราะเรามี Mentor ที่แสนจะใจดีคอยช่วยเราอยู่ทุกเมื่อเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ งานหลักๆ ที่ต้องทำในทุกวันก็คือการตัดต่อคลิปนั้นเอง และงานลองลงมาก็จะเป็นตากล้อง เซ็ตสตูดิโอเพื่อใช้ถ่ายทำในวันถัดไป หรือแม้กระทั่งจัดไฟก็ทำด้วยนะ ด้วยที่เราเป็นหัวหอกหลักของฝั่งทีม Video ของเด็กฝึกงานตัวน้อยๆ เพราะว่ามีคนเดียว เลยทำให้ได้ทำทุกอย่างเท่าที่แรงกายจะทำไหว 

เวลาที่ต้องไปออกอีเว้นท์เปิดตัวต่างๆ Mentor ของแต่ละคนก็จะคอยให้เราติดสอยห้อยตามไปด้วย เพื่อไปเรียนรู้ระบบการทำงานหน้างาน แล้วก็ได้กินของอร่อยๆ จากเงินในกระเป๋าของพี่ Mentor การออกอีเวนต์ในบ้านของ Video ในฐานะเด็กฝึกงานก็คือการถ่ายทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็น ถ่ายทุกอย่างที่ถูกบรีฟไว้ในวันประชุมก่อนวันงาน

มันเหมือน… เป็นที่ที่เหมาะสม ที่นี่ทำให้รู้สึกเหมือนเป็น Playground สำหรับคนที่กำลังจะก้าวสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว ได้ลองเล่น ได้ลองเอาตัวเองใส่เข้าไปในงาน ลองนู้นนั้น ให้เราได้เจอกับแรงกดดัน แต่เป็นแรงกดดันที่เรายังสามารถรับและปรับตัวได้ในฐานะของเด็กปั้น The Zero ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม เราสามารถสไลด์บรรไดมาจากชั้น 4 ลงมาชั้น 3 ได้ เพื่อขอความช่วยเหลือจากทุกทีม (ชั้น 4 คือชั้นที่ทีม Production, Video และ GetTalks สิงสถิตอยู่) พี่ๆ ทุกทีม และทุกคนพร้อมจะช่วยเหลือเราเสมอ

เราเชื่อว่าการฝึกงานมันเป็นเหมือนเป็นการมาลองผิดลองถูก เรามาฝึกวิธีการทำงานเพื่อที่จะนำมาต่อยอดในการทำงานในอนาคต เธอหรือนายที่กำลังอ่าน Paragraph นี้อยู่ ไม่จำเป็นต้องเก่งมาจากไหนเพื่อที่จะได้ฝึกงานที่นี่ ขอแค่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ สื่อสารให้เป็น และสุดท้ายก็คือ ความจริงใจต่อกัน และนั่นคือสิ่งที่ The Zero ได้สอน และให้กับเราในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน เป็นเวลาที่สั้นมากเลย แต่ว่าก็ได้รับอะไรไปเยอะเหมือนกันนะ 

อยากจะย้ำอีกรอบว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมมากเลยนะ สำหรับคนที่กำลังอ่าน หรือคนที่กำลังหาที่ฝึกงานสักที่ เพราะเรามีหลายปัจจัยมากที่ทำให้ไม่อยากมาทำงาน แต่ว่าที่นี่เป็นที่แรกที่เราไม่มีปัจจัยหรือข้ออ้างอะไรเลยที่จะไม่มาทำงาน ฮ่าๆ Mentor ใจดี และเป็นกันเอง ของกินในห้องครัวมีใน Stock เติมได้ไม่อั้น ป้าร้านข้าวแกงใจดียิ้มสวย ร้านขายกาแฟโบราณใจดี

Internship Project #ศึกประชันเบียวว ว ว 

บรีฟโปรเจกต์ที่ได้รับ คือ การทำ Video Content Series ที่เกี่ยวกับอะไรก็ได้ เพื่อลงในแพลตฟอร์มของบริษัท พวกเราเลยเลือกทำรายการศึกประชันเบียว โดยมีไอเดียตั้งต้นมาจากการตีความคำว่า “เบียว” ให้ออกมาเป็นความชอบที่หลากหลายของแต่ละคนในออฟฟิศ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นคาแรกเตอร์ของคนใน The Zero และเป็นการแอบโปรโมตออฟฟิศไปในตัวด้วย

ในส่วนของรูปแบบรายการจะเป็นการเล่นมินิเกมวัดความเป็นแฟนพันธุ์แท้ใน Topic ต่างๆ ซึ่งพวกเราเลือกทำกันทั้งหมด 4 EP แบ่งออกเป็น มีมไทย, ดาบพิฆาตอสูร, KamiKaze และฟุตบอล ไปติดตามรับชมความฮาได้ทาง Facebook: The Zero Publishing และ TikTok: gettalksmedia

  • สิ่งที่ได้จากการทำโปรเจกต์นี้

แบมบี้ : เป็นโปรเจกต์ที่ได้มาทำงานร่วมกับเพื่อนที่ไม่เคยทำงานด้วยมาก่อน ทำให้เกิดความยากมากๆ ในช่วงแรก แต่พอปรับตัวได้ทุกอย่างก็ดีขึ้น ระหว่างทางก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการทำโปรเจคนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานเป็นทีม การเข้าใจซึ่งกันและกัน การแก้ปัญหาหน้างาน การรันรายการ การทำบรีฟ และอีกเยอะมากๆ เลย ทำให้จากตอนแรกที่ไม่ค่อยอยากทำ พอมาคิดอีกทีตอนนี้ก็ไม่เสียใจที่ได้ทำแล้ว ดีใจที่ได้ทำด้วยซ้ำ

ปอนด์ : โปรเจกต์นี้เหมือนเป็นการเริ่มต้นของผมในการทำงานสายวิดีโอ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำรายการนี้จึงมีเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการได้สัมผัสการทำงานในกองถ่ายแบบมืออาชีพ ได้เรียนรู้เบื้องหลังของการทำงานวิดีโอไม่ว่าจะเป็นเขียนสคริปต์, ทำเบรคดาวน์ รวมถึงวิธีการตัดต่อ

ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าขาดคำปรึกษาจากพี่ๆ รวมถึงการทำงานกับทีม และต้องบอกเลยการมีส่วนร่วมในโปรเจคนี้คือหนึ่งในความภูมิใจที่สุดของการมาฝึกงานที่นี่

ไมล์ : ตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์นี้ช่วงออนไลน์รู้สึกว่าโปรเจคนี้มาไกลมาก หน้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยซัพพอร์ตระหว่างถ่ายทำ ทั้งเป็นกล้อง จัดไฟ เซ็ตฉาก จดคะแนน เปิดเพลง และคัตฟุตกับทำบรีฟตัดต่อ ตอนถ่าย 2 อีพีแรกถือว่าเป็นการลองผิดลองถูกเพราะถ่ายติดต่อกันในวันเดียว เรียกได้ว่ามีสิ่งที่ไม่คาดคิดเยอะมาก โชคดีที่มีแผนสำรอง (โดยไม่ได้ตั้งใจ) ทำให้อีพีที่เหลือต้องเตรียมตัวกันให้รอบคอบกว่าเดิม

ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมากๆ ถึงแม้จะยังมีปัญหาเล็กน้อยเรื่องการปรับเปลี่ยนหน้างาน แต่รู้สึกว่าทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีขึ้นมาก ก็เลยรู้สึกขอบคุณเพื่อนทุกคนที่ทำให้งานง่ายขึ้น

เจ๋ง : ต่อจากนี้คือช่วง “เจ๋งระบาย” ระบายสีครับ สามคนที่เพื่อนๆ ได้อ่านไปข้างบนคือ Creative ทุกคน ก็บอกตามตรงเลยว่า “สุดยอด!!” เราไม่เคยทำงานกับ Creative เยอะขนาดนี้มาก่อน เพื่อนทั้งสามคนเหมือนเป็นหัวหอกหลักในช่วง Pre-Production เราเลยเรียกตัวเองว่าตัวรับจบ เพราะเป็นคนที่ต้องตัดต่อทุก EP. แต่ก็ยังคงต้องอยู่ในทุกกระบวนการผลิต ไม่ว่าจะเป็น Pre, Pro และ Post เลย

ทำให้เราได้ Solf-Skill มาเยอะพอสมควรจากโปรเจกต์นี้ จริงๆ มันก็คล้ายๆ กับที่เพื่อนได้พูดกันไป เช่น การทำงานเป็นทีม ถึงจะดูง่าย แต่ว่ายากมากเมื่อถึงหน้างานจริงๆ แต่สุดท้ายเราก็ผ่านกันมาได้ด้วยวิธี “Deep talk” เพราะปัญหาทุกอย่างย่อมแก้ได้ด้วยการคุย แต่ถ้าไม่ได้ก็ “ฟาอัลไปคุยกับคนอื่นเถอะ” ฮ่าๆ ด้วยที่พวกเราผ่านกันมาอย่างยากลำบากสำหรับโปรเจกต์นี้ ผ่านทุกข์ผ่านโศกกันมาอย่างเนิ่นนาน เลยทำให้เราทุกคนภูมิใจกับงานชิ้นนี้มากๆ 

The Zero คือ สนามเด็กเล่นของเด็กจบใหม่ 


The Zero คือ “สนามเด็กเล่นของเด็กจบใหม่” ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสุข และความสดใส เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งที่เป็น “พื้นที่แห่งการเรียนรู้” 

พวกเราได้รับการต้อนรับอย่างดีจากทั้งพี่ๆ และเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ จนเข้าใจเลยว่าการ “อยู่กันแบบครอบครัว” มันเป็นแบบนี้นี่เอง ที่นี่เราสามารถพูดคุยปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องงาน ทำให้ตลอดระยะเวลาการฝึกงานครั้งนี้รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน และยังเป็นพื้นที่เราจะได้ทำงาน ได้เล่น และได้เรียนรู้

ถึงแม้งานจะท้าทายอยู่บ้าง แต่ก็มีกิจกรรมให้คลายเครียดสนุกๆ ในออฟฟิศตลอด และที่สำคัญคือเราได้ทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ ทำให้คุยง่ายและเข้ากันได้ดี ถึงแม้ช่วงแรกจะต้อง WFH แต่พอได้เข้ามาออฟฟิศก็เอนจอยกับทุกๆ วันเลยล่ะ ~

และสุดท้ายนี้ สำหรับน้องๆ ที่กำลังสนใจฝึกงานกับ The Zero ขอบอกเลยว่า “อย่ากลัวที่จะลอง” (เพราะถ้าไม่ลองก็ไม่รู้) แล้วมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวชาว The Zero ด้วยกันนะ!

Writer Profile : nong bambi
Blog : Social Media : Facebook, Twitter
View all post

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save