ความหวังของคนทั้งโลกเมื่อล่าสุดได้มีผู้ป่วย HIV ถูกรับการรักษามาตลอดกว่า 10 ปี จนหายดีเป็นที่เรียบร้อย นับว่าเป็นคนที่ 3 ของโลกหลังติดเชื้อมาตั้งแต่ปี 2018 ผู้ป่วยคนนี้มีโค้ดเนมว่า “ผู้ป่วยดุสเซลดอร์ฟ” ชายวัย 53 ปีที่ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่ปี 2008 และถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตใน 3 ปีต่อมา โดยนับตั้งแต่ได้รับวินิจฉัยเขาก็ทำการรักษาแบบประคับประคองมาตลอด จนเมื่อปี 2013 เขาได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกผ่านสเต็มเซลล์ จากผู้บริจาคหญิงที่มียีน CCR5 ซึ่งสามารถกลายพันธุ์เพื่อหยุดเอชไอวีได้ ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่าระหว่างการปลูกถ่าย เซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจะถูกแทนที่ด้วยเซลล์ของผู้บริจาคอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่สามารถหายไปได้ และในปี 2018 เขาก็ได้หยุดการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV หลังจากนั้น 4 ปีต่อมาก็มีการทดสอบตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งไม่พบร่องรอยของเชื้อ HIV รวมถึงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ไม่พบในร่างกายเขาอีกด้วย ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของวงการแพทย์ทั่วโลก ผู้ป่วยดุสเซลดอร์ฟได้ฉลองครบรอบ 10 ปีของการปลูกถ่ายในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา และเชิญผู้บริจาคหญิงคนดังกล่าวมาเป็นแขกผู้มีเกียรติต่อชีวิตเขา พร้อมเผยความรู้สึกว่า “อยากให้กรณีของเขาเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า และหวังว่าจะเป็นแนวทางการรักษาในอนาคตแก่คนอื่นได้” ทั้งนี้ผู้ป่วยดุสเซลดอร์ฟนับว่าเป็นรายที่ 3 ของโลกที่สามารถรักษา HIV ได้สำเร็จ ซึ่งเขาสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปกติจะไม่มีการแพร่เชื้อไปยังคู่นอนได้ สำหรับผู้ป่วยรายแรกคือ “ผู้ป่วยเบอร์ลิน” ที่รักษาหายในปี 2007 และรายที่สองคือ “ผู้ป่วยลอนดอน” ที่รักษาหายในปี 2016 นั่นเอง ที่มา : Catdumb, The Washington Post
