หากให้คนกลุ่มหนึ่งมานั่งดูหนังเรื่องเดียวกัน แล้วถามถึงส่วนที่ชอบที่สุดของหนัง เชื่อว่าคำตอบที่ได้จะแตกต่างกันไป บางคนชอบเอฟเฟกต์อลังการ เนื้อเรื่องซับซ้อน นักแสดงเข้าถึงบทบาทจนเราอินถึงขีดสุด และคงมีจำนวนไม่น้อยที่มองวิชวลของหนังเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ Mango Zero จะพาทุกคนไปรู้จักกับหนังที่ได้รับการยอมรับว่าองค์ประกอบภาพสวย จนต้องย้อนกลับมาดูอีกหลายครั้งแม้จะจำบทได้ขึ้นใจ ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจหรือข้อคิดให้กับใครหลายคนหลังจากดูจบ Call Me By Your Name (2017) เรื่องราวของ “เอลิโอ” เด็กหนุ่มวัย 17 อาศัยอยู่ที่อิตาลี ต้องมาดูแล “โอลิเวอร์” ชาวอเมริกันวัย 24 ผู้ช่วยของพ่อที่มาอยู่ร่วมชายคาชั่วคราว ในตอนแรกดูเหมือนหนุ่มน้อยจะไม่ชอบหน้าเพราะต้องแบ่งห้องให้ ซ้ำยังต้องเป็นไกด์จำเป็นพาทัวร์เมือง แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับพบว่าตัวเองโดนสเน่ห์ของหนุ่มอเมริกันดึงดูดจนตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น แม้ว่าเอลิโอจะมีแฟนสาวอยู่แล้วก็ตาม แม้จะมีภาษาอิตาลีที่แปลกใหม่ปะปนอยู่บ้าง ก็ไม่อาจเรียกความสนใจของเราไปมากกว่าฉากแต่ละเซ็ท ที่เข้ากันอย่างลงตัวกับแสงในช่วงเวลาต่างๆ ทั้งยังจัดองค์ประกอบรูปได้ราวกับสถานที่ในฝัน ไม่ว่าจะเป็นฉากปิคนิคกลางแจ้ง ห้องต่างๆ ในบ้าน หรือสถานที่ในเมือง ซึ่งภาพและแสงที่ออกมานุ่มนวลและเข้ากันอย่างลงตัวในทุกฉากนั้น ไม่ใช่ผลงานใครที่ไหน เป็นผู้กำกับภาพคนไทยฝีมือดีคือ คุณสยมภู มุกดีพร้อม นั่นเอง La La Land (2016) ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย ในช่วงที่เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความโรแมนติกและวินเทจ “มีอา” หญิงสาวที่ไล่ตามความฝันในการเป็นนักแสดงอย่างมุ่งมั่น แต่หนทางก็ยากจนเธอท้อ ระหว่างที่กำลังหลงทางและเดินอย่างไร้จุดหมาย(ซึ่งตีความได้ว่าเธอกำลังหลงทางอยู่ในระหว่างที่เธอ”หลง”อยู่จริงๆ ) มีอาก็ได้เจอกับ “เซบาสเตียน” นักดนตรีแจ๊ซในคลับ ทั้งคู่ตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว อะไรๆ ดูเป็นไปอย่างที่หนังรักควรจะเป็น แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นและบานปลายกลายเป็นจุดแตกหัก การตัดสินใจในการเลือกทางเดินของทั้งคู่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่สอนเราได้เป็นอย่างดี เป็นที่พูดถึงอยู่พักใหญ่ในทุกเทศกาลหนังถึงความงดงามของหนังมิวสิคอลเรื่องนี ไม่ว่าจะเป็นเพลงแจ๊สติดหูในครั้งแรกที่ได้ฟัง ยิ่งเมื่อประกอบไปกับจังหวะการเต้นในหนัง คอสตูม มู้ดแอนด์โทนของแสงในแต่ละฉากที่เราอยากจะหยุดหนังเพื่อแคปเก็บไว้เป็นวอลเปเปอร์โทรศัพท์ ทุกองค์ประกอบผสานเข้ากันอย่างเหมาะเจาะในทุกๆฉาก จนทำให้ผู้ชมตกตะลึงในความอลังการได้ตั้งแต่เริ่มจนจบ ทำให้เรื่องนี้ขึ้นแท่นเป็นหนังในดวงใจใครหลายคนไปอีกนาน The Grand Budapest Hotel (2014) อีกหนึ่งผลงานของเวส แอนเดอร์สัน ผู้กำกับในดวงใจตลอดกาลของชาวอาร์ตได ครั้งนี้ก็ยังสร้างความมหัศจรรย์ในโทนสีได้อย่างเช่นเคยด้วยธีมของโรงแรม เนื้อเรื่องเปิดด้วยเจ้าของโรงแรมได้เล่าย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ยังเป็นล็อบบี้หนุ่มน้อย มีพนักงานต้อนรับชื่อ”กุสตาฟ” ซึ่งมีคารมคมคายจนเป็นที่เสน่หาของหญิง(ชรา)ที่เข้ามาพัก ต่อมาหนึ่งในสาวที่เคยมีความสัมพันธ์ด้วยได้ถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา กุสตาฟถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ฆ่า เรื่องราวสนุกๆ จึงได้เริ่มต้นขึ้น วิธีการไล่ล่า การหลบหนี และการคลี่คลายคดีที่สุดแสนจะเซอร์เรียลแต่ก็ไม่มากเกินไปนักเมื่อเป็นหนังของเวส ความตลกร้ายพอให้ขบขันและนึกโชคดีที่เป็นไปไม่ได้จริง โทนสีในแต่ละฉากที่ต้องร้องกรี๊ดออกมาเบาๆ เมื่อเห็น ทำให้เรื่องนี้เป็นหนังโปรดของใครหลายคน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม The Great Gatsby (2013) ในยุค 1922 ที่ดนตรีแจ๊สรุ่งเรืองถึงขีดสุด นักเขียนหนุ่ม “นิค คาราเวย์” มีเพื่อนบ้านเป็นมหาเศรษฐี “เจย์ แกตสบี้” ผู้มีงานอดิเรกคือการจัดงานเลี้ยง ไม่ใช่เพื่อรื่นเริงสังสรรค์ แต่เพราะเขาหวังว่าจะได้พบกับคนรักอีกครั้ง เมื่อนิคและแกตสบี้ได้รู้จักกันมากขึ้น ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวของความผิดหวัง การแข่งขัน การดิ้นรนและเปรียบเทียบชนชั้นอย่างชัดเจน แม้จะเป็นหนังที่ดำเนินเรื่องได้อย่างค่อนข้างเนิบนาบในบางตอน แต่บทและการแสดงของนักแสดงที่ทรงพลังก็ยังชวนให้เราดูจนจบได้อย่างน่าประทับใจ ไม่เพียงแต่จะมอบข้อคิดเกี่ยวกับความเป็นวัตถุนิยมและการมุ่งมั่นเพื่อความรักให้เราได้เท่านั้น แต่ภาพและโปรดักชันก็เรียกได้ว่ามีคุณภาพแน่นทะลุจอออกมาเลยทีเดียว แนะนำว่าถ้าดูด้วยระบบสามมิติจะได้อรรถรสของสีที่คมมากยิ่งขึ้น The Secret Life of Walter Mitty (2013) ไม่ใช่แค่ภาพสวย แต่หนังเรื่องนี้ยังทำให้ต้องเราลุกออกไปทำอะไรสักอย่างที่ออกจาก comfort zone เชื่อว่าใครหลายคนต้องเคยมีภาพจินตนาการแบบที่ “มิตตี้” พนักงานบริษัทนิตยสารท่องเที่ยว ที่ต่อมาได้เปลี่ยนไปทำนิตยสารออนไลน์ ทำให้โครงสร้างบริษัทเปลี่ยน และต้องลดพนักงานบางส่วนไป มิตตี้ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอย่างจำเจจนต้องสร้างภาพถึงช่วงเวลาโลดโผนเกินจริงเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตในแต่ละวัน ได้ทำรูปหน้าปกนิตยสารแบบตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายหายไป เขาจึงเริ่มต้นออกตามหา “ณอน” นักถ่ายรูปและนักผจญภัยที่เขาเคารพ ในตอนจบหนังเรื่องนี้ทำให้เราได้รู้ว่า ไม่ว่าตอนท้ายมิตตี้จะตามหารูปเจอหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาค้นพบอย่างแน่นอนก็คือตัวเอง ผ่านการเดินทางและผจญภัยในแต่ละที่ ที่เกินกว่าคำว่าธรรมดาไปมากโข แน่นอนว่าการจะอินกับความสายงามของคู่สีต่างๆอย่างถึงที่สุด ก็ต้องมีอุปกรณ์อื่นๆ อย่างโทรทัศน์ที่มีความคมชัดเป็นตัวช่วยเสริม รับรองว่าลงทุนเพียงหนึ่งครั้ง ก็สามารถดื่มด่ำกับหนังทุกเรื่องไปได้อีกนาน สามารถเลือกซื้อโทรทัศน์ ที่โดดเด่นเรื่องภาพหน้าจอคมชัดได้ ที่นี่