ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งมีค่า และคนที่ทำงานให้เสร็จในหนึ่งครั้งโดยไม่หันไปสนใจสิ่งรอบข้างซะก่อน กลายเป็นคนเก่ง เพราะมีเทคโนโลยีที่คอยดึงความสนใจและทำให้การเข้าถึงตัวแต่ละคนได้ง่ายๆ แต่ถึงแม้โลกจะเปลี่ยนไป ความตั้งใจและสมาธิของเรายังคงเดิมอยู่ได้ ด้วย 7 วิธีที่จะสร้างสมาธิในการทำงานให้อยู่กับเรา หาช่วงเวลาที่ตั้งสมาธิได้ งานวิจัยบอกว่า สมองคนเรามีความสามารถในการให้ความสนใจในหนึ่งวันอย่างจำกัด ขึ้นอยู่กับพลังงานที่มีในวันนั้น และช่วงเวลาที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด บางคนมีสมาธิมากในช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน บางคนต้องหลังห้าทุ่มเท่านั้น (อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะจ้ะ) ลองสังเกตว่าช่วงไหนที่จิตใจเราสงบมากที่สุด และใช้เวลานั้นสำหรับการทำงานที่ต้องใช้สมาธิ เปิดโหมด Do Not Disturb หากเป็นคนที่เห็นแจ้งเตือนเด้งเป็นไม่ได้ ต้องคอยเข้าไปดูตลอด ต้องหักดิบด้วยการเปิดโหมดพระจันทร์ห้ามรบกวนซะเลย ในช่วงแรกอาจจะรู้สึกพะว้าพะวงอยู่บ้าง แต่รับรองได้เลยว่าถ้าชินแล้ว ต้องติดใจกับชีวิตที่เป็นส่วนตัวและมีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาอีกนิดนึงอย่างแน่นอน หลายครั้งที่เทคโนโลยีเข้าใกล้ตัวเรามากเกินไป จนเป็นเหมือนข้อบังคับกลายๆ ให้ตอบกลับทันทีที่อีกฝ่ายส่งมา ความจริงแล้วความเป็นส่วนตัวก็ยังเป็นสิทธิ์ของเราอยู่ การไม่ตอบไลน์กลุ่มทำงานหลังเวลาเลิกงาน หรือไม่ตอบเพื่อนทันเร็ว ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องผิด สมาธิไม่ได้สร้างกันได้ง่ายๆ จะให้เสียงปิ๊งๆ มาทำพังได้ยังไง! จริงรึป้ะ! จัดเวลาในการโฟกัสกับงาน หลังจากรู้ช่วงเวลาที่มีสมาธิมากที่สุดแล้ว ก็ให้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาส่วนตัวในการทำงาน ครั้งหน้าคนอื่นๆ ก็จะรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ห้ามรบกวน ทางฉลุยสำหรับการเคลียงาน! หลายคนเริ่มต้นการทำงานด้วยการเช็คอีเมลล์ จริงๆ แล้วนั่นเป็นการทำให้เสียเวลาและอาจลงเอยด้วยการไม่ได้ทำงานอย่างที่ตั้งใจไว้ (ถ้าไม่เข้าใจ ลองนึกถึงตอนจัดของเก็บห้อง รู้ตัวอีกทีก็เย็นแล้วแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่งอ่านจดหมายเก่าๆ ที่เจอในลิ้นชักนั่นแหละ) เวลาที่ดีที่สุดจึงควรเป็น 30 นาทีสุดท้ายหลังจากทำงานเสร็จแล้ว วางแผนล่วงหน้า วางแผนล่วงหน้าในวันก่อนเริ่มต้นวันใหม่ จัดเรียงลำดับความสำคัญของงานว่าอันไหนต้องทำก่อนหรือหลัง เมื่อทำจนชินจะพบว่าการวางแผนนี้จะทำให้คุณมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการทำงานแต่ละงานให้เสร็จมากยิ่งขึ้น โดยการวางแผนสำหรับวันถัดไปนั้น ไม่ต้องใช้เวลานานมาก และไม่ควรเขียนเกิน 10 อย่าง ประกอบไปด้วย 2 อย่างที่ต้องทำให้เสร็จ และ 8 อย่าง ที่จะทำต่อจากนั้น อาจยืดหยุ่นทำเสร็จหรือไม่ก็ได้ เพราะหากไม่มีความยืดหยุ่นเลย อีกไม่นานคุณจะหยุดวางแผน เนื่องจากเห็นว่ามันไม่ได้ผลแล้วนั่นเอง ปฏิเสธบ้าง ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนต้องเคยเจอวลีนี้ก่อนที่จะอ่านบทความนี้อย่างแน่นอน “หัดเรียนรู้ที่จะปฏิเสธบ้าง” เดี๋ยวเพื่อนแก๊งค์นู้นก็มานัดไปเที่ยว แก๊งค์ก็นัดกินข้าวอีกละ เมื่อถึงเมื่อคราวที่ต้องเลือกทีไร สุดท้ายเราก็ตอบตกลงไปทุกที นั่นแปลว่าเราเสียโอกาสในการทำงานให้สำเร็จไปอีกหนึ่งวันแล้ว ไม่ว่าจะตอบตกลงเพราะอีกฝ่ายบีบบังคับ หรือเพราะกลัวที่จะ “พลาด”อะไรไปหากไม่ได้เข้าร่วม ลองเปลี่ยนความรู้สึกแง่ลบเหล่านั้นมาเป็นแง่บวกดู เช่น ยินดีที่ไม่ต้องไปทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แล้วยังได้เวลาเพิ่มมาทำงานต่อให้เสร็จอีกต่างหาก สร้างสภาพแวดล้อมไร้สิ่งรบกวน ฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่นี่คือข้อที่มีความสำคัญมากที่สุดในบรรดาทั้งหมด ก่อนจะเริ่มทำงาน บนโต๊ะควรเป็นที่ว่าง และมีเพียงเครื่องใช้ที่จำเป็นไม่กี่อย่างเท่านั้น เช่น หากทำพรีเซนเทชัน ก็ควรมีแค่คอม และสายชาร์จ หรือหากทำรายงาน ก็ไม่ควรมีโทรศัพท์ หรือหนังสือเรื่องอื่นๆ ไว้ใกล้ตัว เพราะจะเป็นการสร้างสมาธิให้อยู่กับเรา หลายคนอาจจะเลือกสถานที่อื่นในการสร้างสมาธิ เช่น โต๊ะในห้องครัว หรือสวนหลังบ้าน ก็ทำได้เช่นเดียวกัน ขอแค่มีของไม่จำเป็นติดตัวให้น้อยที่สุด มุ่งมั่นที่จะทำงานให้เสร็จ แม้ว่าสภาพแวดล้อมและสิ่งรอบข้างจะเอื้ออำนวยต่อการสร้างสมาธิมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเปิดโหมดแจ้งเตือน หรือนั่งในสวนที่สงบที่สุดบนโต๊ะที่ไม่มีกระดาษอื่นมากวนใจ ทุกอย่างจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าคุณไม่มีความตั้งใจที่จะพยายามมีสมาธิ เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ตั้งใจสร้างสมาธิ และทำทุกวันจนติดเป็นนิสัย หลังจากนั้นไม่ว่างานจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ก็สามารถทำจนเสร็จได้ในวันเดียว สามารถเลือกซื้อ Planner เพื่อวางแผนการทำงานล่วงหน้าได้ ที่นี่ ที่มา : Lifehack
