ในสังคมปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่า “การคิดบวก” กลายเป็นเรื่องที่คนยุคเราต้องหันมา “ฝึกฝน” กันแล้ว อาจจะเพราะด้วยความเร็วของสังคมและข่าวสารที่เหมือนจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา แรงกดดันจากความคาดหวังจากทางบ้าน ที่ทำงาน และคนรอบตัวก็ดูจะหนักหนาไปเสียหมด หลาย ๆ คนที่มีทักษะการคิดบวกติดตัวมาแต่ไหนแต่ไรก็ถือว่าโชคดีไป เพราะเหมือนมีเกราะป้องกันให้ตัวเองในสภาวะสังคมแบบนี้ สำหรับใครที่ไม่เครียดง่าย กดดันตัวเองมากจนเกินไป ก็คงต้องมาหาวิธีฝึกตัวเองให้ “คิดบวก” กันบ้างแล้วล่ะ เผื่อว่าจะทำให้เราสบายใจขึ้น แถมยังทำให้เรามีแรงไปต่อสู้กับโลกภายนอกอีกด้วยนะ! ทำไมเราต้องคิดบวก? คิดบวกนี่ไม่ใช่ว่าแบบ เจอใครก็บอก “ก็มาดิคร้าบบ” นะ!! การคิดบวกคือการที่พยายามมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ดี แต่ก็ไม่ใช่ดีจนเหมือนหลอกตัวเอง ทุกอย่างต้องอยู่บนหลักความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และการคิดบวกนี่แหละที่จะช่วยเสริมสร้างระบบความคิด (Mindset) ที่จะทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น เพราะเรามองเห็นด้านดี ๆ ของทุกอย่างที่เราทำลงไป ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะล้มเหลวก็เถอะ ในหลาย ๆ งานวิจัยและในหนังสือหลาย ๆ เล่มบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเรามีระบบความคิดที่เป็นบวก ก็ดูเหมือนว่าเราจะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยลดความเครียด ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับคนรอบข้าง มีความดันเลือดที่ลดลง และยังอดทนต่อความเจ็บปวดได้มากกว่าปกติอีกด้วยนะ (อ้างอิง https://en.amerikanki.com/advantages-positive-thinking/) หลังจากรู้ข้อดีของการเป็นคนคิดบวกแล้ว ก็มาดูกันเลยดีกว่าว่าเราจะฝึกตัวเองอย่างไรได้บ้างให้กลายเป็นคนคิดบวกกับ 5 วิธีฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดบวก เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความคิดดี ๆ การเริ่มต้นวันใหม่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยนะ เราขอยกตัวอย่างแบบนี้ดีกว่า ถ้าคืนไหนที่เรานอนไม่พอ ทำงานเหนื่อยมาก แถมยังต้องตื่นแต่เช้าอีก เราจะมีวิธีคิดได้ 2 แบบคือ “เหนื่อยจัง นอนก็ไม่พอ งานก็เยอะ นี่ยังต้องตื่นเช้าอีก” กับการคิดว่า “วันนี้เหนื่อย ๆ ง่วง ๆ แต่ก็ดีนะ เราจะได้มีข้ออ้างไปซื้อกาแฟร้านโปรดมากินแต่เช้า ถึงตอนนั้นก็คงมีความสุขแหละ” ลองคิดดูว่าคนไหนที่จะใช้ชีวิตในวันนั้นได้มีความสุขมากกว่ากัน? ก็ต้องแบบหลัง ถูกไหม? เพราะนอกจากจะไม่อารมณ์เสียแต่เช้าแล้ว ยังมีความสุขด้วยที่ได้ดื่มกาแฟจากร้านโปรดทั้ง ๆ ที่ความจริงลดน้ำหนักอยู่ 55555 สนุกจะตาย แค่เปลี่ยนความคิดตอนตื่นนอนก็เปลี่ยนบรรยากาศทั้งวันได้แล้ว! ลองมองด้านดีของทุกอย่าง เดินไปร้านข้าวที่กินประจำตอนพักกลางวัน ร้านดันปิดซะงั้น อุตส่าห์ตั้งใจจะมากินตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้วนะ! ผิดแผนไปหมดแบบนี้ หงุดหงิดจริง ๆ เลย อะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง!! เอ้า!! คิดแบบนี้ก็แย่ไปกันหมดสิน่า เดินกลับไปทำงานก็จะอารมณ์เสียไปทั้งวัน เผลอ ๆ จะอารมณ์เสียไปจนอีกวันเลยก็ได้ บางทีการเปลี่ยนมามองด้านดีของการที่ร้านข้าวเจ้าโปรดปิด เราอาจจะเจอความสุขและข้อดีอื่น ๆ ก็ได้นะ อย่างเช่น การได้ลองกินอาหารอีกร้านที่เราไม่เคยกิน หรือลองถือโอกาสนี้ไปลองกินอาหารที่เราอาจจะไม่ได้กินนานแล้วก็ได้นะ อร่อยเหมือนกันแหละน่า ไว้วันพรุ่งนี้ค่อยมากินร้านประจำก็ได้นี่เนอะ เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด เชื่อเลยว่าคนทุกคนคงต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ทำอะไรผิด หรือทำอะไรก็ไม่ถูกใจเจ้านาย ไม่ถูกใจคนรอบข้าง แล้วเราก็จะมานั่งเสียใจกับตัวเอง และหวังว่าเราจะสามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการคิดว่า “รู้แบบนี้… ตอนนั้นทำแบบนั้นดีกว่า” หรือ “เราน่าจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรก” ซึ่งความคิดเหล่านี้เป็นระบบความคิดที่ไม่ผิด คิดได้ แต่อย่าคิดนานจนกลายเป็นการโทษตัวเอง เราอยากให้ทุกคนกลับมามองว่า จากการทำผิด หรือการพลาดครั้งนั้น เราได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง อย่างเช่นถ้าหากเราเคยทำงานส่งลูกค้าแล้วเขียนชื่อแบรนด์ผิดไป ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ จนหัวหน้าต้องออกไปขอโทษแทน นอกจากจะมองเรื่องนี้ว่า “เราพลาดอะไร” แล้ว ก็ต้องมองด้วยว่า “คราวหน้าเราจะปรับปรุงและป้องกันอย่างไร” เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ก็คือการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั่นเอง ให้กำลังใจตัวเองเข้าไว้! มีใครบ้างไม่เคยพูดกับตัวเอง? เราทุกคนก็พูดกับตัวเองทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นการพูดในใจหรือการพูดออกเสียง หลาย ๆ ครั้งที่เราพูดคำแย่ ๆ ออกมาอย่าง “ทำไมเราโง่แบบนี้นะ” หรือ “ทำไมเราห่วยแตกแบบนี้” ซึ่งคำเหล่านี้เป็นคำที่ช่างบั่นทอนจิตใจผู้ฟัง (ตัวเองนั่นแหละ) เสียเหลือเกิน แล้วทำไมเรายังพูดมันอีกล่ะ? เปลี่ยนจากคำพูดเหล่านั้นให้เป็นคำให้กำลังใจตัวเองดีกว่าไหม? อาจจะทำได้ยาก แต่ทุกครั้งที่รู้ตัวว่ากำลังพูดกับตัวเองด้วยคำที่ไม่ดี ก็เปลี่ยนคำเหล่านั้นเป็นคำเหล่านี้แทนจะดีกว่า “อดทนหน่อย เรากำลังจะเก่งขึ้นแล้ว” หรือจะเป็น “เอาน่า คราวหน้าต้องดีกว่านี้!” แค่นี้ เราก็จะมีกำลังใจแล้วล่ะ อยู่กับปัจจุบัน เอาจริง ๆ เลยนะ นี่มันหลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธชัด ๆ การที่เราเตือนตัวเองให้อยู่ในปัจจุบันตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่เรากลับไปนั่งใคร่ครวญถึงปัญหาหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตมากเกินไปจนมันทรมานตัวเอง ก็ต้องตั้งสติแล้วหยุด หยุดนิ่ง ๆ หยุดคิดว่าจริง ๆ แล้วตอนนี้เรารู้สึกอย่างไรกันแน่ หรือบางที่ที่เรากังวลถึงอนาคตมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ต้องดึงตัวเองกลับมาปัจจุบันให้ได้ถึงจะดีที่สุด แต่การฝึกตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นต้องคอยเตือนสติตัวเองตลอด ๆ แล้วจะกลายเป็นนิสัยไปในที่สุด ฝึก ฝึก ฝึก และฝึกเท่านั้น ทุกสิ่งที่อย่างต้องใช้เวลาทั้งนั้น กว่าเราจะกลายมาเป็นคนที่คิดบวก และมีระบบความคิดที่ (ค่อนข้าง) บวกได้ก็ใช้เวลาเป็นปีเลยแหละ บางคนก็ใช้เวลาไม่นานก็กลายเป็นคนคิดบวกได้อย่างเต็มที่ บางคน (เหมือนเรา) ก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่าการฝึกฝน ให้กำลังใจตัวเอง พยายามเตือนสติตัวเองให้คิดบวกทุกครั้งที่จับได้ว่าตัวเองคิดลบก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เรากลายเป็นคนคิดบวกได้ในอนาคตทั้งสิ้น! อ่านจนจบแล้วก็หวังว่าทุกคนน่าจะได้ไอเดียการฝึกฝนวิชาคิดบวกไปกันบ้างแหละเนอะ หลาย ๆ คนที่กำลังพยายามฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดบวกเราขอบอกตรงนี้เลยว่า “ก็มาดิคร้าบบ” เอ้ย! ต้องบอกว่า เป็นกำลังใจให้ทุกคนเลยนะ การคิดบวกเป็นอีกสิ่งที่คนยุคเราต้องมีติดตัวไว้จริง ๆ ถ้าอ่านแล้วกลัวลืมหรืออยากแบ่งปันวิธีฝึกตัวเองให้คิดบวก ก็แชร์ไปเก็บไว้ได้เลย!