category รีวิว 'The Journey บันทึกทางไกล...ถึงพ่อ' สารคดีในหลวงรัชกาลที่ 9 กับกว่า 89 ปีของชีวิต

Writer : Taey Ch

: 16 ตุลาคม 2560

รีวิว ‘The Journey บันทึกทางไกล…ถึงพ่อ’

ในช่วงเวลานี้ เราจะได้เห็นข้อมูลต่างๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 บ้างก็มาจากคนใกล้ตัวที่เคยได้รับใช้อย่างใกล้ชิด หรืออาจมาจากคลิปสัมภาษณ์ที่ถูกแชร์กันบนอินเตอร์เน็ต เรื่องราวต่างๆ ล้วนทำให้เราได้รู้จักท่านมากขึ้นในมุมที่ต่างกันไป

และเมื่อเราได้รับสารต่างๆ มากขึ้น เราก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ให้มากขึ้นไปอีก เราอยากรู้ว่าตอนเด็กๆ ท่านเป็นเด็กแบบไหน เราอยากรู้สภาพแวดล้อมที่ท่านโตมา เราต้องการสืบค้นไปถึงแก่นที่ทำให้ท่านเติบโตมาเป็นในหลวงที่เรารัก และทรงงานหนักเพื่อเราได้มากขนาดนี้

สารคดีเรื่อง ‘The Journey บันทึกทางไกล…ถึงพ่อ’ เป็นสารคดีที่เราได้ชมและคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์และเป็นการนำเสนอเรื่องราวของในหลวงออกมาแบบที่ทันสมัย ไม่ได้พยายามเค้นให้บรรยากาศการชมต้องมีน้ำตานอง แต่กลับนำเสนอเป็นสารคดีชีวิตของคน ’ปกติ’ ที่ทำออกมาได้เข้าถึงและเข้าใจง่าย ภายในระยะเวลา 60 นาทีเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อดูจบเราคิดว่าเรารู้จักในหลวงท่านมากขึ้นและสามารถปะติดปะต่อความเป็นมาของตัวท่านได้มากกว่าเดิม เลยอยากจะมาแนะนำให้ทุกคนได้ไปชมกัน

The Journey แบ่งการเล่าเรื่องเป็น 3 องค์

องค์ที่ 1 : นำเสนอเรื่องราวในวัยเด็ก

การที่เราได้รู้จักใครคนนึงในสมัยเขายังเป็นเด็ก ทำให้เราได้เห็นถึงความคิด ทัศนคติ สิ่งต่างๆ ที่หล่อหลอมความเป็นตัวตนของคนๆ นั้น ซึ่งไม่ต่างกับการได้เห็นในหลวง รัชกาลที่ 9 เมื่อสมัยท่านยังเป็นเด็กเลย สารคดีเรียบเรียงเรื่องราวผ่านคุณครูวัยเด็กที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงจดหมายต่างๆ ที่ท่านส่งมาให้คุณครูของท่านด้วย

ข้อความที่เห็นในจดหมายก็เป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั่วไปเช่น ‘อาหารบนเรืออร่อยมาก’ เราได้เห็นความเป็นเด็กธรรมดาในตัวในหลวง เราเห็นว่าท่านเป็นเด็กน่ารัก และเติบโตมาในสภาพการเลี้ยงดูที่ไม่ได้วิเศษไปกว่าใครๆ เลย นั่นยิ่งทำให้เราอยากรู้และติดตามต่อในองค์ต่อไป ว่าแล้วอะไรที่ทำให้ท่านแข็งแกร่งและเก่งได้ขนาดนี้?

องค์ที่ 2 : นำเสนอเรื่องราวสมัยหนุ่ม

ในช่วงองค์ที่สอง เรื่องราวจะนำเสนอถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตท่าน หลังจากที่มีเหตุการณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 8 เกิดขึ้น การตัดสินใจต่างๆ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็เริ่มมีภาระหน้าที่เข้ามาเป็นปัจจัย อย่างเช่น จากที่ท่านตั้งใจจะศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ ท่านก็เปลี่ยนมาศึกษาด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แทน เพื่อจะนำความรู้ที่ได้กลับมาใช้ในหน้าที่ของกษัตริย์

และในช่วงองค์ที่สอง ก็จะเล่าถึงช่วงที่ท่านได้เจอกับพระราชินีด้วย เราจะเห็นบทสัมภาษณ์ที่ใกล้ชิดเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของทั้งสองพระองค์ เช่นบทสัมภาษณ์ของราชินีตอนหนึ่ง ได้กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ Love at first sight แต่เป็น Hate at first sight เพราะในหลวงท่านทรงมาหาราชินีสายกว่าที่นัดไว้ถึง 3 ชั่วโมง เป็นต้น เราก็จะได้เห็นมุมน่ารักๆ ที่อาจเคยเห็นมาบ้างแล้วจากอินเตอร์เน็ต แต่ในสารคดีเรื่องนี้ เราจะเข้าใจง่ายขึ้นและเรียบเรียงเรื่องราวตามได้ลึกขึ้นด้วย

องค์ที่ 3 : นำเสนอช่วงที่ท่านทรงงาน

องค์สุดท้าย จะนำเสนอช่วงชีวิตการทรงงานของท่านผ่านภาพถ่ายและภาพยนตร์ต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ด้วยแผ่นฟิล์ม จากบทสัมภาษณ์ของนักข่าวต่างประเทศ รวมถึงการบอกเล่าจากปากของคนใกล้ชิดที่ทำงานกับท่านมาตลอดอย่าง ดร.สุเมธ ด้วย

ในหน้าที่ ‘กษัตริย์’ เป็นหน้าที่ที่มีอยู่น้อยในโลกใบนี้ ไม่มีสูตรว่ากษัตริย์ต้องทำอะไรในแต่ละวัน แต่สิ่งที่ในหลวงทำ ก็คือการทำทุกอย่างที่เกิดประโยชน์เพื่อประชาชนของท่าน มีบทสัมภาษณ์ตอนหนึ่ง นักข่าวต่างประเทศถามในหลวง ว่าแผนงานในอนาคตของท่านเป็นยังไง ท่านตอบเป็นภาษาอังกฤษด้วยใจความสั้นๆ ว่าท่านไม่มีแผนใดๆ ท่านคิดว่าต้องทำอะไรก็ทำเลย รู้แค่ว่าจะทำแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์

นักข่าวถามว่าท่านชอบอยู่คนเดียวหรอ ถึงชอบทรงงานอยู่ในห้องเพียงลำพัง ท่านก็ตอบว่าเราไม่ได้ชอบอยู่คนเดียวแต่เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับการทำงาน เพราะเราเป็นกษัตริย์ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง การอยู่คนเดียวทำให้ได้โฟกัสกับสิ่งต่างๆ ได้คิด และทำให้ท่านพร้อมหากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ดร.สุเมธ กล่าวว่า วันเกิดทุกปี จะไปเข้าเฝ้าในหลวงเพื่อรับคำอวยพร ครั้งสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้า ในหลวงพูดง่ายๆ 3 ประโยค ว่า ‘สุเมธ งานยังไม่เสร็จนะ’  ‘สุเมธ งานยังไม่เสร็จนะ’  ‘สุเมธ งานยังไม่เสร็จนะ’

สารคดีเรื่องนี้ นำเสนออย่างจริงใจ ไม่ได้ปรุงแต่งเนื้อเรื่องให้ดูฉูดฉาดหรือมีสีสัน ไม่ได้มีดนตรีเศร้าๆ ให้คนดูน้ำตาไหล กลับกันยังเลือกเพลงประกอบสารคดีที่มีจังหวะสนุกสนานด้วยซ้ำ แต่ดูไปน้ำตามันไหลออกมาไม่รู้ตัวเหมือนกัน เป็นน้ำตาที่ไม่ได้เศร้าเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความภูมิใจที่ได้เกิดมาทันยุคท่าน จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยไปดูสารคดีเรื่องนี้กันนะคะ และยังมีรอบชมฟรีสำหรับคนที่สนใจด้วย

รายละเอียดการชมฟรี

  • ระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาคม 2560 ณ โรงภาพยนตร์เอส เอฟ สาขาดังต่อไปนี้
    • วันที่ 20 ตุลาคม 2560 รอบเวลา 19.00 น. • วันที่ 21 ตุลาคม 2560 รอบเวลา 14.30 และ 19.00 น. • วันที่ 22 ตุลาคม 2560 รอบเวลา 14.30 น.
    • ณ โรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีเนม่า เซ็นทรัล พระราม ๙, เอส เอฟ เอ็กซ์ ซีเนม่า เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว, เอส เอฟ ซีเนม่า เซ็นทรัล พลาซา รามอินทรา, เอส เอฟ ซีเนม่า เซ็นทรัล ศาลายา, เอส เอฟ ซีเนม่า เทอร์มินอล ๒๑ อโศก, เอส เอฟ ซีเนม่า เดอะมอลล์ บางกะปิ, เอส เอฟ ซีเนม่า เดอะมอลล์ บางแค, เอส เอฟ ซีเนม่า เดอะมอลล์ ท่าพระ, เอส เอฟ ซีเนม่า เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, เอส เอฟ ซีเนม่า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ และ เอส เอฟ ซีเนม่า เดอะ คริสตัล ราชพฤกษ์ สามารถรับบัตรได้ที่จุดลงทะเบียนหน้าโรงภาพยนตร์
    • https://www.sfcinemacity.com/
  • ระหว่างวันที่ 12 – 13 ตุลาคม 2560 ณ ห้องออดิทอเรี่ยมหอศิลปกรุงเทพฯ จำนวนทั้งหมด 6 รอบ โดยรอบฉายในวันที่ 12 ตุลาคม ได้แก่ 13.00 น. 15.00 น. และ 19.00 น. และรอบฉายในวันที่ 13 ตุลาคม ได้แก่ 13.00 น. 17.00 น. และ 19.00 น. โดยหลังการฉายรอบสุดท้ายมี Q & A กับผู้กำกับภาพยนตร์
  • ระหว่างวันที่ 20 – 28 ตุลาคม 2560 ณ แบงค็อก สกรีนนิ่ง รูม (Bangkok Screening Room) ศาลาแดง ทั้งหมด 9 รอบ อัพเดทรอบฉายที่ https://bkksr.com/movies
  • ฉายบนเที่ยวบินสายการบินไทย เป็นระยะเวลา 2 ปี

[7.5/10] รีวิว A Silent Voice รักไร้เสียง แอนิเมชั่นที่พ่อแม่และวัยรุ่นไม่ควรมองข้าม

รีวิว : ร่างทรง (2021)


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save