จากกระแสการนำเสนอข่าว ‘ลุงพล’ แห่งบ้านกกกอก ผู้เป็นที่รู้จักในสังคมจากการเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีน้องชมพู่ จนได้รับความเห็นใจและความสนใจจากสื่อมวลชนบางสถานีโทรทัศน์เลือกหยิบประเด็นข่าวของลุงพลมานำเสนอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลที่ยังมีคนดูและได้รับเรตติ้งดี ก่อนลุงพลจะกลายเป็นคนดังมีผลงานเพลงและงานพรีเซ็นเตอร์สินค้าหลายเจ้า ปรากฏการณ์ครั้งนี้กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และสร้างคำถามบนโซเชียลต่อวงการสื่อมวลชนไทยถึงการเลือกนำเสนอข่าวในครั้งนี้ที่มุ่งเน้นไปที่ตัวลุงพลมากกว่าความคืบหน้าของคดี เกิดเป็นกระแส #แบนลุงพล แต่ทว่าในแง่มุมคนทำงานในวงการสื่อเอง โดยเฉพาะทีมงานในทีวีช่องนั้น ๆ ต่างก็มีความรู้สึกอัดอั้นต่อการต้องนำเสนอข่าวนี้ตลอดหลายเดือนเช่นกัน ล่าสุด หัวหน้าช่างภาพข่าวทีวีช่องดัง ที่เป็น 1 ในทีมงานผู้นำสเนอข่าวลุงพลมาตลอดหลายเดือน ได้โพสต์ระบายความในใจพร้อมขอโทษสังคม รวมถึงประกาศลาออกจากช่องทีวีดังกล่าวที่ตนเองทำงานมาตั้งแต่เริ่มออนแอร์วันแรก เป็นเวลากว่า 6 ปีที่ได้รับรู้ถึงระบบการทำงานข่าวของที่นี่ โดยให้เหตุผลว่า “ผมขอยอมแพ้กับความบิดเบี้ยว และยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถท้วงติง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นจากต้นทางได้” นอกจากนี้ยังบอกเล่าระบายความในใจถึงการที่ตนมีส่วนทำให้คดีความน้องชมพู่ กลายเป็นเรียลลิตี้ชีวิตของลุงพล-ป๋าแต๋น เรียลลิตี้ความแตกแยกของครอบครัวๆหนึ่ง ชีวิตคนในหมู่บ้านกกกอก เรื่องไสยศาสตร์ ความงมงาย และการมอมเมา “เรานำเสนอเรื่องราวที่ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นจนกู่ไม่กลับ หาประโยชน์และปล่อยให้กลุ่มคนที่ต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เข้ามารุมทึ้ง เราอยากได้กระแส และต้องการเพียงแค่ยอดคนดู ยอดกดไลก์ ยอดแชร์” “ยอมรับกันสักทีเถอะว่า “เรา” คือตัวแปรสำคัญ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวทั้งหมดนี้ เพราะเราหิวกระหายเรตติ้งกันเหลือเกิน” พร้อมทั้งขอโทษสังคมต่อการนำเสนอครั้งนี้ว่า ผมขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และหวังว่าเมื่อเหตุการณ์จบลง ทั้งเราและคนดูบางกลุ่มน่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้บ้าง และขออย่าเหมารวมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพทั้งหมดของ “สื่อมวลชน” ขอบคุณที่มา : Songpon Ruengsamut