แม้ในวันที่เรามองเห็นความหวังเลือนลางจนแทบจะไม่มีทางเป็นจริง แต่ก็ใช่ว่าความหวังนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง ถ้าเรายังมองหาแง่มุมที่สามารถเป็นไปได้ เหมือนจะดูเป็นประโยคที่สวยหรู และแทบจะดูเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง แต่ถ้าเราบอกว่าโลกนี้มีหลายคนที่เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างที่หลายคนมองว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ให้เกิดขึ้นจริง…คุณจะเชื่อไหม ในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้มีคนหลายคนทำได้เพราะเขาลุกขึ้นมาแล้วชวนคนที่เห็นด้วยมาช่วยกันเปลี่ยนแปลงมัน จะมากน้อยแต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงแล้วหากเริ่มต้นมองหาความเป็นไปได้ หนึ่งในนั้นคือการพยายามที่จะเปลี่ยนมุมมองใหม่ของชาวเม็กซิกัน และชาวอเมริกัน ต่อกำแพงที่กั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกในมุมใหม่ กำแพงที่กั้นระหว่างอเมริกา และเม็กซิโก เป็นหนึ่งในกำแพงกั้นระหว่างพรมแดนไม่กี่แห่งในโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแบ่งเขตแดน โดยมีสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำแพงกั้นพรมแดนของสองประเทศนี้คือ + โปรเจกต์กำแพงกั้นพรมแดนถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1994 + สร้างขึ้นเพื่อกั้นระหว่างเอริโซน่า,เท็กซัส และแคลิฟอร์เนียกับพรมแดนของเม็กซิโก + จุดประสงค์ของการสร้างกำแพงคือป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และขนของผิดกฎหมายไปมาระหว่างสองประเทศ + ปัจจุบันกำแพงที่สร้างเสร็จแล้วมีระยะทางรวม 3,201 กิโลเมตร หรือยาวเท่ากับประเทศไทยต่อกันสองรอบ + ในอนาคตจะมีกำแพงกั้นระหว่างสองประเทศนี้เกิดขึ้นอีกราวๆ 1,600 กิโลเมตร + ทั่วโลกมีกำแพงที่กั้นระหว่าง 2 ประเทศทั้งสิ้น 11 แห่ง ข้อมูลจาก Mexico–United States barrier กำแพงที่กั้นระหว่าง ซานดิเอโก (ฝั่งซ้าย) ของสหรัฐฯ และเมืองตีฮัวนา (ฝังขวา) ของเม็กซิโก เมื่อกำแพงถูกทำลายด้วยฝีแปรง ในสายตาของพวกเขา กำแพงคือสิ่งที่มีอยู่จริง และกั้นความสัมพันธ์ของคนสองประเทศไว้จริง แต่ศิลปินคนหนึ่งตั้งคำถามว่า ‘ถ้าสมมติว่ากำแพงนั้นหายไปจากความรู้สึกโดยที่ไม่ต้องทำลายมันจะเป็นอย่างไร?’ หากกำแพงนั้นหายไปจากความรู้สึก อย่างน้อยที่สุด พวกเขาน่าจะรู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่ กำแพงที่ตั้งอยู่บนหาดตีฮัวนา ของเม็กซิโก โดยฝั่งซ้ายคือหาดเอ็มเพอร์เรอร์ ของแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ผู้คนสองฝั่งต้องสื่อสารกันโดยมีกำแพงกั้น นี่คือแนวคิดของศิลปินสาวชาวเม็กซิโก ‘อนา เทเรซ่า เฟอร์นันเดซ’ เธอมีความคิดอยากจะลบกำแพงที่ตั้งอยู่บนชายหาดที่กั้นระหว่างคนสองประเทศนี้ ออกจากใจของพวกเขาโดยที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรงใดๆ ซึ่งเธอเลือกใช้พลังที่ถนัดพังกำแพงนั้นซึ่งก็คือพลังของ ‘ศิลปะ’ อนา เริ่มต้นติดป้ายประกาศ พร้อมเดินหาอาสาสมัครมาช่วยเธอทำงานศิลปะชิ้นใหญ่ที่ทรงพลัง โดยขอความร่วมมือจากคนหลังกำแพงทั้งสองฝั่งประเทศ เธอชวนคนที่สนใจมาร่วมทำงานศิลปะชิ้นนั้นด้วยการทาสีกำแพงที่รูปร่างเหมือนกรงเหล็ก เปลี่ยนจากสีดำดุให้กลายเป็นกำแพงสีฟ้ากลืนไปกับภาพเบื้องหลังของท้องฟ้า เพื่อให้คนทั้งสองฝั่งได้เห็นภาพที่เสมือนว่าเบื้องหน้าของพวกเขาตอนนี้…ไม่มีอะไรกั้นขวางอยู่เลย อนา เทเรซ่า เฟอร์นันเดซ “มันคืองานที่ดูหนักหนาสำหรับฉันมาก แต่เมื่อฉันเริ่มทาสีฟ้าลงบนกรงเหล็ก ทุกสิ่งที่ทำต่อไปนี้จะบอกเองว่าเราทำไปเพื่ออะไร” เธอเล่าถึงภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้ฟัง งานศิลปะที่เป็นอาวุธอันยิ่งใหญ่ของเธอคือสิ่งที่ดึงดูดให้ทุกคนเข้ามาช่วยสร้างสรรค์ และสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ให้เกิดขึ้น คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนยอมที่จะเข้ามาช่วยเมื่อได้ยินแนวคิดของเธอ รวมไปถึง Johnnie Walker ก็สนใจแนวคิดของเธอเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการทำแคมเปญ ‘without walls’ ร่วมกัน แคมเปญนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกไปสู่สิ่งที่ดีกว่าด้วยพลังแห่งความกลมเกลียวของมนุษย์ ผสานกับพลังบวกที่มีอยู่ในตัวของทุกคนที่เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ทุกอย่างจะสำเร็จได้หากทุกคนร่วมมือ และเชื่อมั่นในกันและกัน แน่นอนแคมเปญนี้ตรงกับแนวคิดของอนา และเธอสร้างปรากฎการณ์ขึ้นโดยการร่วมมือของคนสองฟากฝั่งกำแพง ทุกคนพร้อมใจที่จะ #WEWILLKEEPWALKING หรือการเดินไปด้วยกัน “มันคือไอเดียที่มหัศจรรย์มากๆ ฉันคิดว่าสักวันหนึ่งคงจะมีวันที่เราไม่ได้เห็นกำแพงจริงๆ ถึงจะยังไม่เกิดขึ้น แต่วันนี้เราก็ได้เริ่มต้นบางอย่างขึ้นแล้ว” หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงกับอนา เล่าถึงความรู้สึกที่เธอได้มีส่วนในการช่วยลบกำแพงออกจากใจให้ฟัง จากคนเพียงไม่กี่คนที่ช่วยกันทาสีฟ้าลงบนกำแพงยักษ์สีดำที่ทุกคนมองภาพของกำแพงแห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับมังกรตัวยักษ์ใหญ่ที่ทอดยาวลงบนทะเล ไม่นานก็มีคนเดินทางมาช่วยเธอเยอะขึ้น ทุกคนช่วยเปลี่ยนกำแพงสีดำอันดูไร้ซึ่งชีวิต ให้กลายเป็นกำแพงที่กลืนไปกับพื้นหลัง เมื่องานศิลปะที่ทุกคนช่วยกันสร้างจบลง เราไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมตรงหน้าอีกต่อไป “เราร่วมกันเปลี่ยนแปลงด้วยการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนมารวมตัวช่วยกันทำในสิ่งที่ดีด้วยกัน” นั่นคือวัตถุประสงค์ของอนา ที่พยายามบอก แม้ความจริงกำแพงนั้นยังคงอยู่ ไม่มีใครปฏิเสธว่ากำแพงนั้นหายไปแล้ว ทว่าในความรู้สึกของคนที่อยู่คนละฟากของกำแพง อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่ทุกคนช่วยทำก็เยียวยาความรู้สึกที่โดนขวางกั้นลงได้ ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือไม่มีกำแพงใดๆ ที่จะกั้นความรัก ความหวังดีของเพื่อนมนุษย์ที่มีต่อกันได้อย่างเด็ดขาด ตราบใดที่มนุษย์ยังเชื่อมั่นในความหวัง ยังเชื่อมั่นในพลังเล็กๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ยังเชื่อมั่นในการมองเห็นความเป็นไปได้ในแง่มุมที่หลายคนคิดไม่ถึง และเชื่อมั่นในการรวมพลังกันของเพื่อนมนุษย์ เหมือนสิ่งที่ Johnnie Walker เชื่อในพลังด้านบวกของมนุษย์ทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ และมองเห็นความเป็นไปได้ว่าหากรวมพลังเดินไปด้วยกัน เมื่อนั้นจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เหมือนวันนี้ที่กำแพงหายไปแล้วด้วยพลังของทุกคน กำแพงหายไปจากความรู้สึกของพวกเขาแล้ว