ในโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีต่างได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างไม่มีหยุดยั้ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “Ai” หรือ “Artificial Intelligence” ได้เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์เรามากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะในด้านการเป็นตัวช่วยเพื่อการทำงาน การอำนวยความสะดวกสบาย เรียกได้ว่าหากมนุษย์เรานำ Ai มาปรับใช้อย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ ก็จะสามารถสร้างประโยชน์เชิงบวกได้มากมาย นี่จึงกลายมาเป็นแนวคิดหลักของงาน “AFTERKLASS Business KAMP ปีที่ 6” สุดยอดแคมป์ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้พัฒนาไอเดียธุรกิจนวัตกรรมมผ่านการเรียนรู้จริง คิดจริง ลงมือทำจริง ซึ่งในปีนี้ก็กลับมาพร้อมแนวคิด “Youth for Good” หรือการใช้เทคโนโลยี Ai มาพัฒนาเป็นไอเดียธุรกิจนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสังคม จนเกิดเป็นผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืน บอกเลยว่าแค่แนวคิดก็ชวนอึ้งจนขนลุกแล้ว แต่งานนี้แมงโก้ต้องขนลุกยิ่งกว่าเก่า! จากการมีโอกาสเข้าไปฟังแผนธุรกิจที่น้องๆ 8 ทีมสุดท้ายงัดมานำเสนอกันแบบไม่มีใครยอมใคร ถึงขั้นต้องปรบมือให้เลยว่าทุกทีมทุ่มเทและทำการบ้านมาหนักมากจริงๆ พูดขนาดนี้หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วว่าไอเดียธุรกิจของน้องๆ จะชวนอึ้ง! ทึ่ง! ว้าว! ขนาดไหน ถ้าพร้อมแล้วก็มาสำรวจ 8 แผนธุรกิจนวัตกรรม Ai เพื่อสังคมจากสุดยอดเยาวชนทั้ง 8 ทีมกันได้เลย~ ทีมอะไรก็ได้ : ตู้รู้แล้วรู้รอด เปิดเวทีประลองปัญญาไปด้วยกันกับกลุ่มแรก ซึ่งมาในชื่อ “ทีมอะไรก็ได้” โดยน้องๆ มาพร้อมไอเดียธุรกิจ “ตู้รู้แล้วรู้รอด” เทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นเพื่อผู้ป่วยสูงอายุที่อยู่คนเดียวในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมักจะมีปัญหาเมื่อต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ไม่ว่าจะในเรื่องระยะทาง ค่าใช้จ่าย หรือความคล่องตัว โดยน้องๆ ออกแบบให้ “ตู้รู้แล้วรู้รอด” เป็นตู้ที่เปิดบริการให้ผู้ป่วยได้เข้ามากรอกข้อมูลอาการผ่านตู้ จากนั้นใช้ Ai เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มความเจ็บป่วย หากตู้ประเมินว่าอยู่ในเกณฑ์ไม่สุ่มเสี่ยงก็ไม่ต้องเดินทางมาพบแพทย์ เรียกได้ว่าลดโอกาสเสียเวลาลงไปได้เยอะมาก! และในช่วงการตอบคำถาม เหล่าคณะกรรมการก็ได้ช่วยชี้แนะแนวทางเกี่ยวกับการใช้งานและจุดจัดวางตู้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อเป็นแนวคิดพัฒนาต่อยอดสู่การใช้งานได้จริง ทีม Rick and Morty : WaiJai มาต่อกันที่ทีมที่ 2 “Rick and Morty” โดยทีมนี้มาพร้อมไอเดียธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ซึ่งเหมาะกับยุคสมัยปัจจุบันแบบสุดๆ ! จากปัญหามิจฉาชีพหลอกลวงผู้สูงอายุที่มีมากในปัจจุบัน น้องๆ จึงได้คิดค้น “WaiJai” แอปพลิเคชันดักจับมิจฉาชีพทางโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นผ่านการโทร ข้อความ ฯลฯ โดยใช้ Ai ในการวิเคราะห์ข้อมูล หากพบว่ามีความเสี่ยงก็จะทำการป้องกันทันที ทั้งยังสามารถใช้งานได้ทั้งกับระบบ ios – Android และได้รับการออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายที่สุดเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ และไอเดียธุรกิจสุดสร้างสรรค์นี้ ก็ทำให้น้องๆ สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 มาได้ในที่สุด! โดยน้องๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้สึกภูมิใจกับผลงานของตนเองมาก โดยไอเดียเรื่องการช่วยเหลือผู้สูงอายุจากมิจฉาชีพเป็นไอเดียตั้งต้นที่น้องๆ ตัดสินใจเลือกมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ด้วยมองว่าหากแก้ปัญหานี้ได้ก็จะสามารถสร้างผลเชิงบวกต่อสังคมได้อย่างกว้างขวาง สมาชิกทีม “Rick and Morty” ยังเสริมว่าหากมีโอกาสก็อยากนำโปรเจกต์ไปต่อยอดให้เกิดขึ้นจริง และอยากพัฒนาฟีเจอร์ตรวจจับกลโกงต่างๆ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบตรวจจับการปลอมเสียง ระบบตรวจจับการปลอมแปลงใบหน้า งานนี้แมงโก้ขอยกนิ้วโป้งให้เลยว่าแนวคิดของน้องๆ นั้นไม่ธรรมดา และเป็นการสร้างธุรกิจเพื่อสังคมจริงๆ ทีม Phantom : PhiTech – พี่เทค ทีมต่อไปที่ได้ขึ้นมานำเสนอผลงานของตัวเองคือทีม “Phantom” มาพร้อมไอเดียธุรกิจอย่าง “PhiTech – พี่เทค” ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง หรือผู้สูงอายุที่ลูกหลานต้องทำงานจึงไม่ได้อยู่ดูแลตลอดทั้งวัน โดยเป็นแอปพลิเคชันที่เมื่อติดตั้งในโทรศัพท์แล้ว จะมีระบบ Ai ช่วยสอนการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น ระบบแนะนำการส่งรูปในไลน์ เรียกได้ว่าหากผู้สูงอายุต้องการใช้งานแอปพลิเคชันไหน ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ในทันที ซึ่งน้องๆ ก็มีการลงพื้นที่เพื่อสำรวจความต้องการของผู้สูงอายุกันจริงๆ เพื่อปรับรูปแบบการใช้งานให้เหมาะสมที่สุด และในช่วง Q&A คณะกรรมการก็ได้ถามคำถามต่างๆ เพื่อชี้แนะแนวทางการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้จริง บอกเลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งไอเดียธุรกิจที่น่าสนใจมากทีเดียว ทีมวิศวะลูกพ่อหลุยส์: บ้านอุ่นใจ มาต่อกันที่น้องๆ เยาวชนทีมถัดไปอย่าง “วิศวะลูกพ่อหลุยส์” ผู้มาพร้อมไอเดียธุรกิจสุดบรรเจิดอย่าง “บ้านอุ่นใจ” แอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นเพื่อให้การรับอุปการะเด็กกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และช่วยให้การรับเลี้ยงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น! โดยจุดเริ่มต้นของไอเดียนี้มาจากแนวคิดที่ว่า “เด็กๆ ทุกคนควรมีครอบครัว” น้องๆ จึงได้ลงพื้นที่สำรวจบ้านรับเลี้ยงเด็ก ทำให้พบว่าปัญหาใหญ่ของระบบการรับเลี้ยงเด็กคือขั้นตอนการส่งเอกสารที่มีความยุ่งยาก ใช้เวลานาน อีกทั้งบางครั้งการรับเลี้ยงยังล้มเหลวเพราะเด็กและผู้รับเลี้ยงไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ จนกลายเป็นวงจรการทอดทิ้งไม่รู้จบ ซึ่งสร้างบาดแผลให้กับจิตใจของเด็กๆ อย่างมาก นี่จึงเกิดเป็นไอเดียธุรกิจ “บ้านอุ่นใจ” แอปพลิเคชันที่จะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเลี้ยงเด็ก ด้วยระบบดำเนินการเอกสารแบบออนไลน์ ใช้ง่าย รวดเร็ว พร้อมทั้งการใช้ระบบ Ai เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลเด็กและข้อมูลผู้รับเลี้ยงว่ามีความเข้ากันหรือไม่ ลดโอกาสที่การรับเลี้ยงจะล้มเหลว และในขั้นตอนการนำเสนอน้องๆ ก็สามารถทำออกมาได้ดี ทั้งยังตอบคำถามคณะกรรมการได้อย่างฉะฉาน พิสูจน์ว่ามีการค้นคว้าและทำการบ้านมาอย่างดี จนสามารถคว้ารางวัลผู้ชนะเลิศไปครองได้ในที่สุด! ซึ่งในระหว่างพูดคุยกับน้องๆ แมงโก้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความตั้งใจอันเต็มเปี่ยมของน้องๆ ที่มุ่งหวังจะผลักดันให้โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นจริง เพราะน้องๆ เชื่อว่าคุณภาพสังคมที่ดี เริ่มต้นได้จากชีวิตของเด็กๆ ที่มีคุณภาพ หากปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งได้รับการแก้ไข สังคมของเราจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืนแน่นอน เรียกได้ว่าความสามารถและแนวคิดของน้องๆ สมน้ำสมเนื้อการเป็นผู้ชนะจริงๆ ทีม AegisAI: AegisAI เดินทางมาจนถึงทีมที่ 5 กับทีม “AegisAI” ที่มาพร้อมไอเดียธุรกิจในชื่อเดียวกัน โดยน้องๆ ทีมนี้มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับหญิงวัยทำงานที่แบกรับภาระด้านร่างกายและจิตใจ จนเกิดเป็น “AegisAI” แพลตฟอร์มสำหรับเยียวยาปัญหาสุขภาพจิตให้คนรุ่นใหม่ มาพร้อมคอนเซปต์ “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องแพง ไม่ต้องรอ” โดย “AegisAI” จะมาพร้อมฟีเจอร์เยียวยาสุขภาพจิตหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบการให้คำปรึกษาผ่านแชท Ai ระบบจัดเพลย์ลิสต์เพลงเพิ่มความผ่อนคลาย รวมถึงพื้นที่สำหรับการเขียนกระทู้ ซึ่งนับเป็นแพลตฟอร์มที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่คนมักต้องเผชิญกับความเครียดต่างๆ ในชีวิตประจำวันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ซึ่งเทคโนโลยี “AegisAI” ก็สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ไปได้ในที่สุด! ทีม MiffyandFriends: AeroMedi เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการนำเสนอไอเดียธุรกิจกับทีมที่ 6 “MiffyandFriends” โดยน้องๆ ทีมนี้ตั้งต้นไอเดียจากปัญหาผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทำให้หลายๆ ครั้งไม่สามารถเดินทางมาพบแพทย์ได้ตามนัดหมายเพราะปัญหาต่างๆ เช่น ระยะทาง สภาพอากาศ ค่าใช้จ่าย ฯลฯ จึงเกิดมาเป็นไอเดียธุรกิจ “AeroMedi” หรือโดรนส่งยารักษาโรคสำหรับคนในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร โดยสร้างเป็นแอพลิเคชันสำหรับติดตามโดรนส่งยารักษาโรคแบบ Real-Time พร้อมฟังก์ชันตรวจสอบประวัติการใช้ยา และคุยกับหมอ รองรับทั้งภาษาถิ่นและภาษากลาง โดยใช้ Ai เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ และในช่วง Q&A คณะกรรมการก็ได้แนะนำแนวทางต่างๆ เพื่อเสริมให้รูปแบบธุรกิจมีความชัดเจนมากขึ้น พร้อมชี้ให้เห็นจุดที่ยังสามารถพัฒนาต่อได้เกี่ยวกับการรักษาคุณภาพยาให้คงเดิม ทีม Thunder Permanent: O-Guard ธุรกิจถัดมาเป็นไอเดียจากทีม “Thunder Permanent” ที่เล็งเห็นปัญหาของเยาวชนวัยเรียนที่ต้องออกจากระบบการศึกษาเพราะครอบครัวยากจน จึงกลายมาเป็นแนวคิดหลักของการสร้าง “O-Guard” แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ที่ใช้ Ai เพื่อการวิเคราะห์วิชาเรียนที่เหมาะกับผู้ใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ แพลตฟอร์มนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ตลาดงาน ที่จะเป็นตัวช่วยหาตำแหน่งงานให้กับผู้ใช้หลังเรียนจบคอร์ส เรียกได้ว่าออกแบบมาครอบคลุมแบบสุดๆ ! โดยระหว่างช่วง Q&A คณะกรรมการก็ได้เสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเข้มข้นของหลักสูตร และการรับรองผู้ที่เรียนจบคอร์สเพื่อเป็นแนวทางให้น้องๆ ได้ลองพัฒนาต่อไป ทีม ฝ่ายซ้าย: AirGuard เดินทางมาจนถึงทีมสุดท้ายอย่าง “ฝ่ายซ้าย” ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอุปกรณ์ตรวจจับการล้มแบบเรียลไทม์สำหรับผู้สูงอายุที่อาศัยเพียงลำพังหรือ “AirGuard” โดยมีหลักการทำงานคืออุปกรณ์จะส่งคลื่นตรวจจับการเคลื่อนไหวออกมา และเมื่อระบบ Ai สามารถตรวจจับการล้มได้ ก็จะส่งเสียงดังเพื่อเป็นสัญญาณให้กับผู้ที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมวิเคราะห์ลักษณะท่าทางการล้มไว้ด้วย ซึ่งเทคโนโลยีนี้อาจลดช่วงเวลารอการช่วยเหลือลงได้ ส่งผลให้ลดการบาดเจ็บ ลดค่าใช้จ่าย ทั้งยังลดอัตราการเสียชีวิตได้อีกด้วย โดยคณะกรรมการก็ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานและระบบอื่นๆ เพิ่มเติม บอกเลยว่าหากในอนาคตเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นจริง คงจะมีประโยชน์ต่อครอบครัวที่มีผู้สูงอายุมากจริงๆ ! เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับสุดยอดไอเดียธุรกิจจากสุดยอดเยาวชนทั้ง 8 ทีม?! งานนี้ต้องขอยกนิ้วให้กับความคิดและความสามารถของน้องๆ ที่มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เรียกได้ว่าแต่ละไอเดียไม่ธรรมดากันเลยจริงๆ ซึ่งในโอกาสนี้ “คุณศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ” อนุกรรมการพิจารณาและกลั่นกรองผู้ประกอบการที่ขอรับการสนับสนุนทุน TED Fund ก็ได้ให้ความเห็นไว้ว่าน้องๆ ในปีนี้มีความสามารถมาก แม้บางธุรกิจอาจจะยังมีข้อจำกัดหรือจุดต่อยอดได้อีก แต่รูปแบบไอเดียของแต่ละทีมก็น่าสนใจและน่าชื่นชมมากๆ สำหรับเด็กวัยมัธยม โดยคุณศุภชัยได้กล่าวชื่นชมโครงการ “AFTERKLASS Business KAMP” ไว้ว่าเป็นวิสัยทัศน์ของธนาคารกสิกรไทย (KBank) ที่ชาญฉลาดมาก เพราะถือเป็นการเพิ่มพูนทักษะของเด็กๆ ในแบบที่ไม่สามารถหาในห้องเรียนได้สมชื่อ “AFTERKLASS” ซึ่งการเสริมสร้างเยาวชนในวันนี้ จะนำไปสู่ประโยชน์ต่อสังคมในภายหน้าอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดจุดที่อยากฝากถึงน้องๆ ผู้เข้าร่วมในปีต่อไปคุณศุภชัยก็ได้เสนอไว้ว่า หัวใจสำคัญของการคิดไอเดียธุรกิจออกมา คือการไม่ลืมใส่ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และการค้นคว้าข้อมูลให้รู้ลึกรู้จริง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของเรามีแบบแผนที่ชัดเจนขึ้นและไม่ซ้ำใคร และทั้งหมดนี้คือภาพรวมความประทับใจจาก “AFTERKLASS Business KAMP ปีที่ 6” มารอดูกันได้เลยว่าในปีหน้าโครงการ “AFTERKLASS Business KAMP” จะกลับมาพร้อมความพิเศษแบบใด และน้องๆ เยาวชนจะงัดความสามารถมาโชว์กันขนาดไหน โดยสำหรับผู้ที่สนใจก็สามารถติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ทาง Facebook: AFTERKLASS สเปซของเด็กชอบเรียนรู้ และ www.AFTERKLASS.com เลยนะ