ที่ผ่านมาเรามักเห็นหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ จัดกิจกรรมมอบทุนอาหารกลางวันแก่โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลอยู่เป็นประจำ ทว่าจุดประสงค์ของการให้ทุนอาหารกลางวันแต่ละองค์กรก็ต่างกัน แต่มีอยู่องค์กรหนึ่งที่ไม่ใช่แค่มอบทุนอาหารกลางวันให้น้องๆ อิ่มท้องอย่างเดียว แต่ยังให้ความรู้เรื่องการพึ่งพาตัวเองผ่านการมอบทุนอาหารกลางวันเข้าไปด้วย โครงการนั้นคือ ‘โครงการมอบทุนอาหารกลางวันของมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี’ มูลนิธิของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ที่จัดโครงการมอบทุนอาหารกลางวันให้โรงเรียน รวมทั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กครอบคลุมพื้นที่ 15 ตำบลในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน ในภาคเหนือมา 35 ปีติดต่อกันไม่มีหยุด หากลองอ่านเรื่องราวของโครงการนี้ดู คุณจะเห็นข้อคิดที่น่าสนใจ ที่สอนให้เรารู้ว่าการให้แบบไหนคือ ‘การให้ที่ยั่งยืน’ มากกว่าให้เงินทุนคือการให้ความรู้ เราอาจเคยเข้าใจมาว่าการให้เงินเพื่อช่วยเหลือคือสิ่งที่ดีที่สุด จริงๆ แล้วหากเราให้เงินค่าอาหาร ผู้รับอาจอิ่มท้องแค่ไม่กี่มื้อ แต่ถ้าอยากให้พวกเขาได้อิ่มท้องตลอดไปต้องไม่ใช่ให้แค่เงิน การให้ทุนอาหารกลางวันของมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี จึงไม่ได้แค่ให้เพียงเงินแล้วแยกย้ายไม่ได้หันหลังกลับมามองอีก แต่มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี มีแนวคิดว่า ถ้าอยากให้ทุกคนอิ่มตลอด ควรจะเข้าไปช่วยให้คำปรึกษา ให้โจทย์ความคิดแต่ละโรงเรียน เพื่อนำไปต่อยอดว่า จะทำอย่างไรให้เงินก้อนนี้นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน แต่ละโรงเรียนจึงนำเงินก้อนนั้นไปบริหารจัดการ ต่อยอดทุนอาหารกลางวันให้เงินงอกเงย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นด้วยความรู้ที่มูลนิธิฯ มอบให้ ให้ปลาตัวเดียว เขาอิ่มเพียงมื้อเดียว แต่ถ้าสอนเขาจับปลา เขาจะมีปลากินตลอดไป…นี่คือข้อคิดที่ได้รับ ปลูกฝังความคิดให้ยืนด้วยตัวเอง ไม่มีใครอยากรอคอยการช่วยเหลือตลอด บางครั้งการให้แต่ความช่วยเหลือโดยที่ไม่สอนให้เขาพยายามช่วยเหลือตัวเองเลย นั่นอาจจะเป็นการ ‘ให้’ ที่เมื่อให้แล้วก็ ‘หมดไป’ ไม่ได้ถูกสานต่อ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี เล็งเห็นถึงการช่วยเหลือในระยะยาว จึงพยายามเข้าไปมีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้ทุกโรงเรียนที่ไปช่วยเหลือยืนได้ด้วยตัวเอง วิธีการช่วยเหลือของมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี คือการผนวกโรงเรียนเข้ากับโครงการ 100 โรงเรียนเกษตรพอเพียง เพื่อให้โรงเรียนที่ได้รับทุนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง โรงเรียนที่ได้ทุนอาหารกลางวันไปก็จะนำเงินดังกล่าวไปซื้อเมล็ดพันธ์เพื่อปลูกผักกินเอง, ซื้อลูกปลาดุกมาเลี้ยงเอง หรือซื้อไก่ไข่มาเลี้ยง เมื่อสามารถปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาได้เอง ก็สามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว ไม่ต้องรอความช่วยเหลือตลอด นั่นเพราะ…ทุกคนสามารถยืนด้วยขาตัวเองได้แล้ว ให้วิธีคิดทางธุรกิจแบบง่ายๆ นอกเหนือจากให้ความรู้ในการยืนด้วยตัวเองผ่านการทำการเกษตร หรือทำปศุสัตว์แบบพอเพียงที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ยังแนะนำรื่องของการทำธุรกิจแบบง่ายๆ ลงไปด้วยหลักการต่อยอดทรัพยากรที่ตัวเองมี หากโรงเรียนไหนที่ผลิตอาหารได้อย่างเหลือเฟือเกินความต้องการ ก็สามารถนำผลผลิตที่เหลืออยู่ไปขายต่อได้ ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนอยู่ในโครงการทุนอาหารกลางวัน การสร้างแนวคิดทางธุรกิจ การให้ความรู้ในการสร้างผลผลิตด้วยตัวเอง ก็ทำให้ทุกคนอยู่ได้อย่างยั่งยืน โดยความยั่งยืนในที่นี้หมายความว่า เงินที่มีไม่ได้แค่เพียงพอเลี้ยงดูเด็กได้ แต่เงินที่มีสามารถช่วยเด็กๆ สร้างประสบการณ์ของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบตัวเอง รู้จักปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา นอกจากสามารถเอาไปกินเองแล้ว ยังเอาไปต่อยอดทางธุรกิจเล็กๆ เพื่อเรียนรู้การทำธุรกิจด้วยตัวเอง ช่วยอย่างตั้งใจและจริงใจ ตอนที่เราคิดจะช่วยเหลือใครสักคน เจตนาของเราคืออะไร ‘ช่วยๆ ไปก่อนดีกว่าไม่ทำอะไร’ หรือ ‘ช่วยอย่างเต็มที่และจริงใจ’ ไม่มีข้อไหนถูกหรือผิด เพราะการช่วยแล้วเราสบายใจที่จะทำก็ถือว่าเป็นความสุขที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว แต่หากคุณช่วยอย่างใส่ใจมากยิ่งขึ้น ผู้รับก็จะยิ่งรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ที่ทำโครงการอาหารกลางวันขึ้นมาเพราะอยากที่จะให้เด็กๆ มีอาหารที่ดีครบ 5 หมู่กินตลอดทั้งปี ที่ผ่านมามูลนิธิฯ ศึกษามาอย่างดีว่าเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนอาหารที่มีคุณภาพ สารอาหารไม่ครบ การช่วยเหลือจึงเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ และใส่ใจ ไม่ใช่แค่ให้เงินอย่างเดียว แต่ให้ความรู้ ให้ความใส่ใจ ให้ความเข้าใจ และให้ทุกอย่างที่สามารถแบ่งปันได้อย่างจริงใจ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมผู้รับถึงรู้สึกดี และผู้ให้ก็รู้สึกดีตามไปด้วย ทำดีให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หากทำทุกวันอย่างต่อเนื่องก็จะกลายเป็นนิสัย หรือกิจวัตรประจำวัน การทำดีก็เช่นกัน ถ้าเราทำดีไปทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องใหญ่ เมื่อทำบ่อยๆ เราจะถูกปลูกฝังนิสัยเรื่องความเห็นใจเพื่อนมนุษย์ลงไปในใจ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ก็ดำเนินโครงการมอบทุนอาหารกลางวันมาอย่างต่อเนื่องปัจจุบันนี้เข้าปีที่ที่ 35 และมีการขยายจำนวนโรงเรียนหรือศูนย์เด็ก มาตลอด ล่าสุดสามารถช่วยเหลือไปกว่า 82 โรงเรียน จากเดิม 57 โรงเรียน โดยโรงเรียนเก่าที่เคยช่วยเหลือมานานก็ยังช่วยอยู่ไม่ได้ทิ้งโรงเรียนไหนไว้ข้างหลัง ในทุกปีมูลนิธิฯ ให้ความช่วยเหลือด้วยเงินปีละกว่า 18 ล้านบาทมองดูแล้วเป็นตัวเลขที่มาก แต่เมื่อเทียบกับความอิ่มใจที่ได้รับ 35 ปีที่ผ่านมา พวกเขารู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากๆ แล้ว