กาแฟถือเป็นเครื่องดื่มที่มีอิทธิพลอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะยุคสมัยใด กาแฟก็มีความเกี่ยวข้องกับคนเราในหลาย ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อ วิถีชีวิต หรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และว่ากันว่าประวัติศาสตร์ของกาแฟนั้นมีอายุยืนยาวพอ ๆ กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ (ว่าไปนั่น) พอเกริ่นมาแบบนี้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงอยากรู้กันแล้วใช่ไหมครับว่า กาแฟที่คุณเคยดื่มตามร้านกาแฟ หรือชงกาแฟสำเร็จรูปดื่มที่บ้าน มีที่มาที่ไปอย่างไรนะ ถ้าพร้อมแล้วเราไปลุยกันเลย *คำแนะนำ* ถ้าใครอยากอ่านเรื่องนี้ให้ได้อรรถรสเราขอแนะนำให้ชง เนสกาแฟ เรดคัพ ดื่มไปด้วย รับรองว่ารสชาติของกาแฟผสมอาราบิก้าคั่วบดละเอียดและความหอมของโรบัสต้าจะพาคุณย้อนประวัติศาสตร์ของกาแฟไปด้วยกันครับ ต้นกำเนิดของกาแฟ และต้นกำเนิดตำนานของความกระปรี้กระเปร่า ณ ปัจจุบันยังไม่มีนักประวัติศาสตร์คนไหนกล้าออกมายืนยันว่า “กาแฟ” ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม จุดกำเนิดของ “ต้นกาแฟ” นั้นมาจากประเทศเอธิโอเปีย แต่จุดประสงค์ของการปลูกต้นกาแฟ เริ่มแรกกลับไม่ใช่การนำเอาไปดื่มอย่างที่แพร่หลายกันในปัจจุบัน เพราะแต่ก่อนเจ้าพืชตัวนี้กลับถูกนำมาใช้ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อของศาสนาอิสลาม และถูกนำไปเป็นยาเท่านั้น แต่ก็มีเรื่องเล่าและตำนานที่น่าสนใจเกี่ยวกับกาแฟ ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้คนเริ่มมีการบริโภคกาแฟเป็นอาหาร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ตำนาน “แพะเต้นรำ” ที่เป็นเรื่องราวของคนเลี้ยงแพะชาวเอธิโอเปียที่สังเกตว่าแพะของตัวเองนั้นคึกเกินกว่าปกติ เพราะไปกินผลของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือกาแฟ นี้จึงเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจการบริโภคกาแฟก็เป็นได้ การต่อสู้กันทางความเชื่อ จากเครื่องดื่มของซาตานสู่เครื่องดื่มที่คนหลงใหลกันทั่วโลก ก่อนที่จะเป็นที่นิยมของคนทั่วโลก แต่ก่อนกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่นิยมของชาวมุสลิม แต่นอกจากความขัดแย้งทางศาสนาคริสต์และอิสลาม ทำให้ “กาแฟ” ถูกมองว่าเป็นเครื่องดื่มของคน “นอกรีต” หรือเครื่องดื่มของซาตาน ที่มีสถานะตรงกันข้ามกับเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์อย่าง “ไวน์” เนื่องจากความเชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มของซาตานทำให้กาแฟถูกแบนจากชาวยุโรปไปหลายยุคสมัย จนเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ยุคที่พระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 เป็นผู้นำทางศาสนาคริสต์ในสมัยนั้นได้มีโอกาสลิ้มรสชาติของกาแฟ จนเกิดความรู้สึกติดอกติดใจกับความอร่อยจนประกาศเลิกแบนกาแฟโดยทันที ไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่กลับกลายเป็นพืชเศรษฐกิจ หลังจากที่กาแฟกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก กาแฟก็ถูกยกให้กลายเป็น “พืชเศรษฐกิจ” ซึ่งตอนเริ่มแรกผู้ที่มีสิทธิ์ขาดในการขายกาแฟก็ยังเป็นกลุ่มของพ่อค้าชาวมุสลิมเท่านั่น โดยพวกเขาจะขายเพียงเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้ว แต่หลังจากปี ค.ศ. 1616 เป็นต้นไปก็ได้มีการพยายามลักลอบนำกาแฟไปปลูกในหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ดัตช์, อินเดีย, คิวบา, บราซิล และอีกหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งนั่นก็ทำให้เมล็ดกาแฟได้มีการแผ่ขยายออกไปทั่วโลก และราคาของเมล็ดกาแฟก็ถูกลง จนคนธรรมดาๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ง่าย เมื่อโลกเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเกิดขึ้น ก็นำพามนุษย์รู้จัก “กาแฟสำเร็จรูป” การชงกาแฟสมัยก่อนนั้นมีรูปแบบกันชงที่คล้าย ๆ กันก็คือ การนำเมล็ดกาแฟไปคั่ว บด และชงผ่านน้ำร้อน ซึ่งจะมีเพียงแค่การปรุงส่วนผสมเท่านั้นที่แตกต่างกันออกไป เช่น ใส่นม ใส่น้ำตาล หรือน้ำผึ้ง และจุดเปลี่ยนหนึ่งที่ทำให้กาแฟกลายมาเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการชงกาแฟในช่วงปี ค.ศ. 1901 ที่สามารถทำให้กาแฟที่ถูกปรุงแล้วระเหยกลายเป็นผงโดยใช้กระบวนการทางความร้อนได้ แต่ช่วงแรกของกาแฟซองหรือกาแฟสำเร็จรูปก็ยังไม่ได้รับความนิยมนัก จนช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นไปที่ทำให้ทั่วโลกขาดแรงงานในการปลูกกาแฟที่ทำกาแฟสด ส่งผลให้ราคาของกาแฟสูงขึ้น ผู้คนจึงหันมาสนใจกาแฟซองมากกว่านั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เนสกาแฟ เรดคัพ ก็ใช้เทคโลยีในการกักเก็บความหอมของกาแฟสดโดยผ่านเทคโนโลยี Micronized Roasted Coffee และ Double Filter ที่ช่วยให้เราสามารถลิ้มรสชาติของกาแฟชงสดได้จริงๆ ดื่มด่ำประวัติศาสตร์และการเดินทางของกาแฟ จากกาแฟเมล็ดกาแฟ สู่กาแฟซอง NESCAFÉ RED CUP หลังจากทุกคนอ่านจบ ผมคงเชื่อว่า ตอนไปนี้ทุกคนของมอง “กาแฟ” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และถ้าใครอยากลิ้มรสชาติและประวัติศาสตร์ของกาแฟแล้วละก็ ผมอยากจะขอแนะนำ เนสกาแฟ เรดคัพ กาแฟชงสำเร็จรูปที่ผสมผสานรสชาติดั่งเดิมของเมล็ดกาแฟอาราบิก้าคั่วบดละเอียดและโรบัสต้า ที่ให้ความเข้มข้นและกลมกล่อมของรสกาแฟอย่างเต็มรูปแบบ ผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีการชงกาแฟสมัยใหม่ ที่สามารถกักเก็บความหอมได้เหมือนกับดื่มกาแฟสด บอกได้เลยว่า หากชงเมื่อไรก็ได้รสกาแฟเข้ม ๆ ได้ใจผู้อ่านแน่ ๆ ครับ
