เราเชื่อว่าแต่ละคนมีเป้าหมายในการออกไป “วิ่ง” ไม่เหมือนกัน หลายคนวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก รักษารูปร่าง , ยืดเส้นยืดสาย ฯลฯ หลากหลายเหตุผลที่เราจะวิ่งเพื่อให้ได้สุขภาพกายที่ดี แต่รู้ไหมว่าเราสามารถใช้การวิ่งเพื่อฝึกสุขภาพจิตใจให้แข็งแกร่งขี้นได้ด้วยนะ ถึงแม้ว่าการมีกิจกรรมทางกายอย่างการวิ่งกับการสงบนิ่งดูจะเป็นเรื่องที่เข้ากันไม่ได้ แต่เชื่อไหมว่าการวิ่งกลับทำให้เราสามารถฝึกทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน การฝึกจิตก็คือการทำสมาธินั่นเอง ซึ่งหากเราฝึกฝนจนแข็งแกร่งก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการวิ่งดีขึ้นและยิ่งจิตใจแข็งแกร่งเราก็จะเหนื่อยน้อยลง, ลดอาการซึมเศร้าอีกด้วย โดยนักวิชาการเรียกสิ่งนี้ว่า MAP (Mental and Physical Training) นั่นเอง ซึ่งมีประโยชน์มหาศาล แต่ใครออกไปวิ่งครั้งหน้า ลองมีสติก่อนออกวิ่งและขณะวิ่งดู เพื่อฝึกให้เราสามารถจัดการร่างกายได้ดีขึ้นและยังช่วยให้สมาธิดีขึ้นด้วยนะ เอาล่ะไปดูกันเลย 3…2…1…. ร่างกายแข็งแรงและจิตใจแข็งแกร่ง วิ่งใน Pace ที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น จัดการร่างกายได้ดีขึ้น เหนื่อยน้อยลง มีสมาธิมากขึ้น ลดอาการเครียด ,ซึมเศร้า กำหนดลมหายใจ เรื่องสำคัญระหว่างวิ่งเพื่อให้ร่างกายและจิตใจไปต่อไหวที่สำคัญคือก็คือการกำหนดจังหวะลมหายใจ เคยไหม หอบแฮ่กๆ วิ่งไปนิดเดียวก็รู้สึกจุกทั้งๆ ที่ไม่ได้ทานอะไรก่อนวิ่งด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นเพราะเราหายใจไวเกินไป หรือหายใจผิดจังหวะจนทำให้การวิ่งต้องมาสะดุดลงได้ การกำหนดลมหายใจฝึกหายใจให้ลึกระหว่างวิ่งนอกจากช่วยฝึกสมาธิยังช่วยลดอาการตื่นตกใจ, ลดความเครียด ที่สำคัญคือช่วยควบคุมสมาธิให้เราจดจ่อ และวิ่งได้อย่างสม่ำเสมออีกด้วย โดยก่อนวิ่งลองใช้เวลาประมาณ 3-5 นาทีหายใจเข้า-ออก ทำให้จิตใจปลอดโปร่งก่อนจะเริ่มสตาร์ท บางคนอาจใช้วิธีหายใจเข้าแล้วนับ 1-2-3-4 หายใจออกนับ 1-2-3 เพื่อเป็นการฝึกหายใจในเบื้องต้นหากฝึกเป็นประจำเราจะสามารถหายใจได้ลึกขึ้นและเหนื่อยน้อยลงระหว่างวิ่งด้วย โฟกัสกับแค่การวิ่ง อยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าจะเจอเรื่องกวนใจสารพัดมา ทั้งงานไม่เสร็จ, ทะเลาะกับแฟน ฯลฯ ขอให้ลืมไปก่อนอย่าไปจดจ่อกับเรื่องเหล่านั้นซะ ตั้งสติก่อนจะเริ่มวิ่งว่าขณะวิ่งเราจะโฟกัสแค่กับการวิ่งเท่านั้น เลือกคำพูดที่ชอบ คิดในใจซ้ำๆ เพื่อให้มีสติอยู่กับการวิ่งมากขึ้นอาจลองเลือกคำพูดที่ชอบ หรือคำที่เป็นกำลังใจให้เรา เช่น “วิ่งๆๆๆๆๆ….” หรือ “ผอมๆๆๆๆ…..” แล้วพูดคำนั้นขณะวิ่ง (พูดเบาๆ หรือคิดในใจก็ได้นะ) หรือใครจะลองนับก้าวขณะวิ่ง เช่น ก้าวเท้าซ้ายนับ 1 ก้าวเท้าขวานับ 2 นับไปเรื่อยๆ จนถึง 8 แล้วนับถอยหลังกลับทำวนไปเรื่อยๆ วิธีนี้จะช่วยให้เราจดจ่อกับการวิ่งไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่นนั่นเอง รู้ตัวอยู่เสมอ ลองสัมผัสและสังเกตสิ่งโดยรอบขณะวิ่ง ได้กลิ่นดินหลังฝนตก, มองเห็นรองเท้ารุ่นใหม่สีสดของคนที่วิ่งด้านหน้า, เห็นใบไม้ที่ร่วงหล่นเป็นแพที่พื้นขณะวิ่ง ได้ยินเสียงสุนัขเห่ามาจากที่ไกลๆ เพียงแค่รู้ตัวถึงสิ่งเหล่านั้นไม่ไปคิดโกรธหรือรู้สึกอะไรเพียงแค่มีสติกับสิ่งรอบตัว เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถจัดการร่างกายได้ดีขึ้น และหายใจได้ถูกต้องขึ้นด้วย ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ จัดร่างกายให้ถูกต้อง แกว่งแขนให้เหมาะสม ปล่อยตัวที่รู้สึกว่าสบาย การมีสมาธิในการวิ่งจะทำให้เรารู้ตัวว่าไหล่เริ่มตก หรือหลังเริ่มโค้ง เราต้องมีสติว่าจ้องจัดท่าให้เหมาะสมและวิ่งไปตามจังหวะที่เราซ้อมไว้ ไม่กังวลกับการก้าวขา ปล่อยไปตามธรรมชาติ ให้ร่างกายได้สัมผัสกับลม หายใจอากาศเข้าไปให้เต็มปอด และเปิดร่างกายให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติได้เต็มที่ เพราะการวิ่งเป็นมากกว่าแค่ ”กีฬา” มาเริ่มต้นชีวิตที่ดีมีความสุขด้วยงานวิ่งที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการวิ่ง โดยอาจเริ่มจากหันมาเดินให้มากขึ้น, ตื่นเช้ามาวิ่งสัก 3 วันต่ออาทิตย์ ,ลงงานวิ่งเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้น เป็นต้น ซึ่งงานวิ่งในไทยก็มีมากมายหลากหลาย ต่างสถานที่, ต่างระยะทาง, ต่างคอนเสปต์ อย่างงานที่ สสส. จัดทุกปีอย่าง งาน Thai Health Day Run โครงการที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายง่ายๆด้วยการวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดี บนแนวคิด “วิ่งสู่ชีวิตใหม่” (Run for New Life) ซึ่งเน้นเป็นงานวิ่งที่มีมาตราฐานและค่าสมัครจับต้องได้เพียง 250 บาททุกระยะ เพื่อสนับสนุนให้เราเริ่มออกมาวิ่งและจูงมือคนที่เรารักให้หันมาออกกำลังกายนั่นเอง ขอบคุณที่มาจาก : หนังสือคู่มือ วิ่ง 10 สัปดาห์ สู่ชีวิตใหม่ โดย สสส. http://llln.me/Y7lov19
