ปกติแล้วเวลาที่เรานึกถึงประเทศออสเตรเลีย ก็จะนึกถึงเจ้าจิงโจ้ สัตว์น่ารักคู่ประเทศนี้ ที่อยากลองไปหาสักครั้งที่ซิดนีย์ ไม่ก็เมืองเมลเบิร์น เมืองยอดฮิตที่คนไทยหลายคนนิยมไป แต่ทีมงาน Mango Zero อยากจะบอกว่า…ยังมีอีกเมืองที่น่าสนใจไม่แพ้กันอย่าง เมืองบริสเบน และมีหลากหลายกิจกรรมเด็ดแบบที่หาทำได้ยาก และบอกเลยว่าต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิตค่ะ ตามทีมงาน Mango Zero มาได้เลย ท้าความเสียวที่สะพาน Story Bridge Adventure Climb ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ทริปนี้ได้โอกาสที่ดีมากจาก ชื่อสายการบินในเรื่องบริสเบนอ่ะะ Thai AirAsia ที่มีไฟลท์บินตรงจากไทยถึงเมืองบริสเบนเลย ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมงค่ะ ราคาต่อเที่ยวประมาณ 4,900 บาท ซึ่งรวมๆ แล้วที่ทางเราบินก็ประมาณคนละ 15,000 บาทค่ะ (พอดีว่าบวกอาหารและน้ำหนักกระเป๋าอีก 30 กก. ด้วยนั่นเอง) กิจกรรมแรกที่มาถึงคือการขึ้นสะพาน Story Bridge Adventure Climb ใจกลางเมืองบริสเบน ที่ถือว่าเป็นแลนมาร์คของที่นี่ คือต้องมาาาาาา และบอกเลยว่าสูงและหวาดเสียวมากกกก (เรียกว่าเป็นกิจกรรมยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งเครื่องบินนานๆ ได้เลยยยย) แต่ด้วยทางเราเป็นคนกลัวความสูงมาก ก็แอบกล้าๆ กลัวๆ อยู่นิดนึง แต่เห็นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่รัดกุมสุดๆ มีเจ้าหน้าที่มาดูแลเป็นอย่างดี เลยเพลาความอุ่นใจได้บ้างอยู่ จนตัดสินใจลุยเลยค่า! ซึ่งสะพานนี้มีความสูงประมาณ 80 เมตร และต้องใช้ชุดที่รัดกุมแบบนี้ คล้ายๆ กับชุดคนซ่อมบำรุงสะพานนี่แหละ ความตั้งใจของการเปิดให้เที่ยวแบบนี้ก็บอกว่า ไหนๆ ก็ต้องขึ้นไปซ่อมบำรุงสะพานอยู่แล้ว งั้นก็เปิดให้นักท่องเที่ยวมาท้าความสูงกันซะเลย ระหว่างทางที่ขึ้นไปคือมีความใจแป้วอยู่ตลอดเรียกว่าอยากวนกลับเลยเพราะพื้นเป็นแบบตะแกรงเลยทำให้มองเห็นถนนข้างล่างที่มีรถขับผ่านไปมาอยู่ตลอดคือใจจะไม่มองก็ไม่ได้เพราะกลัวก้าวพลาดไงล่ะฮือออ และในที่สุดก็มาถึงยอดชมวิวเมืองแล้วจ้าลมพัดแรงมากกกกแต่วิวก็สวยมากซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปให้เราแบบนี้นะโพสต์ท่าได้สบายเลย ราคาอยู่ที่ 159 ดอลลาร์ออสเตรเลีย/คน หรือประมาณ 3,000 บาทค่ะ ใครสนใจจะไปท้าความเสียวต้องจองล่วงหน้าก่อนนะที่ https://storybridgeadventureclimb.com.au/product/twilight-climb/ ตะลุยเกาะมอร์ตัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ! มาถึงที่นี่แล้วถ้าไม่มาเยือนเกาะมอร์ตันก็เหมือนมาไม่ถึง ซึ่งทางเราไปทำกิจกรรมมันๆ ที่ Tangalooma Island Resort โดยการนั่งเรือข้ามเกาะราว 1 ชม. กิจกรรมที่ว่าก็จะมีทั้งนั่งเรือชมรอบเกาะเพื่อดูธรรมชาติสวยๆ ดูน้องนกกินปลาโชว์กลางทะเล ยังคงล่องลอยบนทะเลไปเรื่อยๆ เพื่อไปดูเศษซากเรืออับปางสมัยสงคราม ซึ่งจริงๆ แล้วนักท่องเที่ยวจะนิยมมาดำน้ำตื้นบริเวณนี้ แต่ช่วงที่ทางเราไปนั้น…น้ำเย็นมากกกก สู้ไม่ไหวจ้า ขอดูอย่างเดียวดีกว่านะ ตกเย็นไปให้อาหารปลาโลมากันค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย พอเวลา 6 โมงเย็นปุ๊บ น้องๆ ปลาโลมาต่างพากันแหวกว่ายเรียงคิวมาตรงเวลาเลยค่ะ เพื่อรอให้มนุษย์อย่างเราให้อาหารน้องปลาโลมาด้วยตัวเองเลย โดยจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิดและคอยถ่ายรูปให้แบบนี้ค่ะ แต่น่าเสียดายจังดันก้มหน้า เลยกลายเป็นภาพไม่มองกล้องซะงั้น ซึ่งตอนที่ไอซ์ให้อาหารปลาโลมาได้เช่าชุดกันน้ำด้วยค่ะ ราคาอยู่ที่ 15 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 320 บาทค่ะ ปะทะความน่ารักกับหมีโคอาลาและจิงโจ้ ความรักสัตว์ยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ เพราะทางเราได้ไปต่อที่ Lone Pine Koala Sanctuary เป็นศูนย์อนุรักษ์น้องหมีโคอาลาแห่งเดียวในออสเตรเลีย ที่ให้เราอุ้มน้องหมีโคอาลาแบบใกล้ชิดได้เลยยยย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำวิธีการอุ้มที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยทั้งตัวเราและน้องหมี รวมถึงภาพสวยๆ ที่ออกมาด้วยค่า (แอบบอกนิดนึงว่าน้องตัวหนักมากกกก) ส่วนราคาค่าอุ้มหมีโคอาลาสำหรับถ่ายรูปอยู่ที่ 32 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 680 บาทค่ะ มาถึงที่นี่ทั้งทีถ้าไม่ให้อาหารจิงโจ้ก็คงมาไม่ถึง เพราะเราสามารถให้อาหารน้องจิงโจ้ได้ด้วยตัวเองเลยค่ะ และลูบขนได้ด้วยนะ แต่อย่าดึงหูน้องละ ห้ามเด็ดขาดค่ะ (ขนน้องนิ่มมากกก) ส่วนจะคาดหวังให้น้องจิงโจ้กระโดดโชว์นั้น…คือแอบยากหน่อย เพราะน้องเล่นนอนชิลล์กันทุกตัวเลย แฮร่ๆ และก่อนกลับก็ขอแวะไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย โดยเฉพาะตรงเซาท์แบงค์ เป็นจุดที่มีป้ายบริสเบนตั้งเด่นมาก และเป็นมุมมหาชนให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปคู่กันเพียบ รวมถึงบรรยากาศบ้านเมืองก็ดูสบายๆ แม้จะมีตึกสูงเยอะก็ตาม แต่เอาจริงๆ นะไม่ได้รู้สึกแออัดเลย เพราะฟุตบาทเขากว้างมาก คนที่นี่เน้นเดินและวิ่งกันเยอะ ถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปเยือนที่เมืองบริสเบนแห่งนี้อีกแน่นอน ><