ช่วงนี้ใครๆ ก็ต้อง Work From Home จากที่ต้องใช้อุปกรณ์สำนักงาน อาจต้องเปลี่ยนมาใช้ของตัวเองจากที่บ้านกันบ้าง เมื่อปริมาณงานเท่าเดิม แต่สถานที่เปลี่ยนไป อาจทำให้คู่หูทำงานหลายคนเกิดอาการรวน หรือทำงานไม่ทันใจได้ วันนี้ Mango Zero ก็มีรีวิวในการใช้ iPad Pro 2020 และอุปกรณ์เสริมกับการทำงานแบบ Work From Home มาฝากกัน โดยของที่เราจะรีวิวในวันนี้ มีทั้งหมด 3 อย่างด้วยกัน นั่นก็คือ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 2) Apple Pencil (รุ่นที่ 2) และ Magic Keyboard นั่นเอง บางเบา พกไปไหนมาไหนได้ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 2) มีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 471 กรัม และบางเพียงแค่ 5.9 มิลลิเมตร ทำให้พกพาได้สะดวก ซึ่งในตอนนี้อาจทำได้แค่ย้ายจากห้องทำงานมาห้องนอน หรือเป็นการมูฟสั้นๆ แต่ในอนาคตที่สามารถนั่งทำงานนอกบ้านได้น่าจะถูกใจพอสมควร แต่ต้องระวังการเก็บรักษา เพราะความบางและเบาอาจเกิดการงอได้หากนั่งทับ สำหรับแบตเตอรี่ก็เรียกได้ว่าอึดมาก ชาร์จเพียงแค่วันละครั้ง แม้จะเป็นการใช้งานอย่างหนักหน่วงตลอดเวลาก็ตาม นอกจากนี้ ในรุ่นนี้ยังรองรับ Apple Pencil (รุ่นที่ 2) ซึ่งในตอนนี้สามารถแตะสองครั้งเพื่อสลับระหว่างดินสอกับยางลบ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็สะดวกสบายพอสมควรสำหรับสายวาดรูป รวมไปถึงการรองรับ Magic Keyboard และ Smart Keyboard Folio ได้อีกด้วย หน้าจอคมชัดด้วย Liquid Retina พร้อมกล้องหลังที่เพิ่มขึ้น เรื่องที่ทุกคนต้องเผชิญหากมีการ Work From Home อย่างแน่นอน ก็คือการ “คอนคอล” หรือการประชุมทางไกล เมื่อทดลองทำการคอนคอลด้วย iPad ตัวนี้ ก็พบว่าได้ภาพที่คมชัดมาก (ซะจนคนหน้าสดอาจต้องเติมแป้งและเครื่องสำอางค์เล็กน้อย) แต่หากเป็นการนำเสนอสิ่งของ หรือเป็นการไลฟ์ ก็ถือว่าเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนทีเดียว เป็นอีกรุ่นที่เรียกได้ว่าน่าสนใจสำหรับสายสถาปัตย์ และสายภาพยนตร์ เนื่องจากมีกล้องหลังเพิ่มมาอีก 2 ตัว เป็นกล้องไวด์ และอัลตร้าไวด์ ทำให้ได้ภาพถ่ายที่คมชัดมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ ที่สำคัญคือมี LiDAR Scanner ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวเข้ามาช่วยทำงาน ทำให้การใช้แอพ Measure เพื่อวัดขนาดสิ่งของนั้น มีความแม่นยำมากขึ้น แน่นอนว่าการใช้แอปพลิเคชัน AR ยิ่งไม่ต้องพูดถึง สมจริงมากยิ่งขึนจนอยากโหลดมาเล่นทุกรูปแบบ สำหรับสาย (รอชม) ภาพยนตร์ ก็อาจสนใจรุ่นนี้ได้เช่นกัน เพราะมีเทคโนโลยี Liquid Retina พร้อมการแสดงผลแบบ True TONE มีการสะท้อนของแสงน้อย และมีขอบเขตของสีกว้างแบบ P3 จะเป็นหนังแนวสดใส หรือลุ้นระทึกก็อินได้อย่างไม่ติดขัด ทำงานง่ายขึ้นด้วย Magic Keyboard มาถึงส่วนเสริมกันบ้าง Magic Keyboard เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานได้หลายเท่า เจ้าสิ่งนี้มาในรูปแบบของของเคสที่สามารถปิด iPad ได้ทั้งด้านหน้าและหลัง พร้อมพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จ iPad Pro ผ่านกันได้ ตัวเคสมีความหนักพอสมควร แต่ก็ยังถือว่าเบาและพกพาสะดวกสบายเมื่อเทียบกับ MacBook ตัวหน้าจอสามารถแหงนแบบปรับได้ 2 ระดับ ซึ่งเป็นช่วงองศาที่เหมาะเป็นพิเศษกับการพิมพ์งาน หรือดูภาพยนตร์ สำหรับส่วนที่ชอบที่สุดก็คือ สามารถใช้ iPad ทำงานที่มืดได้แล้ว เพราะ Magic Keyboard มีไฟแล้ว! ทั้งยังเป็นปุ่มแบบแบ็คไลท์ที่มีขนาดของแป้นพิมพ์กำลังเหมาะมือ หากต้องปั่นงานจนดึกดื่นก็ขอบอกเลยว่ากดแป้นพิมพ์รัวได้สะใจมาก Multitask สะดวกขึ้น หากประกอบเข้ากับ Magic Keyboard จะทำให้การทำงานแบบ Multitask ค่อนข้างสะดวกมากขึ้น เพราะมีแทร็คแพดเหมือน MacBook ซึ่งในส่วนของเคอร์เซอร์ จะมีปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามการใช้งาน เช่น หากเป็นแค่การเลื่อนเฉยๆ จะมีลักษณะกลมๆ แต่เมื่อเลื่อนไปที่ตัวอักษร ก็จะเปลี่ยนการคลุมทันที เมื่อรวมกับคุณสมบัติเฉพาะของ iPad อย่างการแบ่งหน้าจอเป็นสองด้าน (split Over) หรือการแบ่งเป็นสามส่วน (Slide Over) ก็ถือว่าทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้นอีกประมาณหนึ่งเลยทีเดียว สรุป กล้องมีความคมชัดสมจริงมากขึ้น เหมาะสำหรับสายออกแบบและพัฒนาโปรแกรม หน้าจอ Liquid Retina ทำให้ได้ภาพที่สดและสวยมาก สายดูภาพยนตร์ถูกใจแน่นอน Apple Pencil รุ่นที่ 2 สามารถแตะเพื่อเปลี่ยนประเภทจากดินสอเป็นยางลบได้ ค่อนข้างทันใจในเวลาจดงานเร็วๆ บางและเบา พกพาง่าย จึงต้องระวังเรื่องการเก็บ เพราะอาจเกิดการงอได้ เคอร์เซอร์แบบใหม่ ทำให้การการทำงานมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น Magic Keyboard มีความหนักกว่าคีย์บอร์ดรุ่นอื่นๆ แต่ก็สะดวกสบายที่สุด เพราะแป้นพิมพ์มีไฟ และมีแทร็กแพดในตัว
